พาราสาวะถี
เวลาเป็นตัวเร่งเร้าที่สำคัญ หากยังมัวเงื้อง่าราคาแพง การเดินเกมทางการเมืองจะช้าไปกว่าคนอื่นพรรคอื่นหลายก้าว
เวลาเป็นตัวเร่งเร้าที่สำคัญ หากยังมัวเงื้อง่าราคาแพง การเดินเกมทางการเมืองจะช้าไปกว่าคนอื่นพรรคอื่นหลายก้าว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะใช้วิธีพยักหน้าแทนคำตอบไปถือธงนำพรรครวมไทยสร้างชาติแน่นอน พร้อมยืนยันจะทำการเมืองไปอีก 2 ปีตามกรอบที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ความเป็นนายกรัฐมนตรีนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้ โดยตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจย้ำว่าจะทำงานในช่วงเวลาที่เหลือให้ดีที่สุด
ในแง่ผลงานตลอดเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมา เป็นบทพิสูจน์อยู่แล้วว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจควรจะได้รับโอกาสให้เป็นผู้นำประเทศอีก 2 ปีที่เหลือต่อไปหรือไม่ ในทางการเมืองเมื่อมองไปยังระบบเลือกตั้ง บวกกับความเป็นพรรคตั้งใหม่ ถือเป็นโจทย์ยากที่จะสามารถผลักดันให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนำทัพชนะเลือกตั้งแล้วกลับเข้ามาเป็นนายกฯ อย่างสง่างาม แต่ด้วยกลไกและกลเกมที่วางกันไว้ ที่ยังมั่นใจ 250 เสียง ส.ว.ลากตั้งเป็นฐานสำคัญ จึงทำให้ตัวท่านผู้นำเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าจะได้อยู่ยาวสมใจอยาก
สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น วิธีการให้มี ส.ส.ในจำนวนที่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์หรือ 25 ที่นั่งขึ้นไปเพื่อสิทธิ์ในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคให้ที่ประชุมรัฐสภาโหวตเลือก สิ่งที่ง่ายที่สุดคือดึง ส.ส.ของพรรคในรัฐบาลให้เข้ามาร่วมงานให้มากที่สุด เน้นหนักไปที่พรรคสืบทอดอำนาจ เพราะบรรดารัฐมนตรีสายตรงสามารถต่อสายหรือเชิญมาคุยพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษที่ยากจะปฏิเสธกันได้ อยู่ที่ว่าพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.จะสู้สุดใจเพื่อยื้อคนเหล่านั้นไว้หรือไม่
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ก็ถือเป็นพรรคที่จะถูกดูด ส.ส.จากพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ไม่เว้นแม้แต่พรรคภูมิใจไทยตามข่าวที่ว่า วีระศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยคมนาคม นายทุนหลักของพรรคอีกรายก็จะถูกดูดด้วยเช่นกัน ทำให้ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ต้องการจะกวาด ส.ส.ในจังหวัดโคราชให้ได้มากที่สุดหรือยกจังหวัดได้ก็ยิ่งดี ต้องเร่งประสานเพื่อยับยั้งให้ได้ แต่ก็ทำใจกันไว้บ้างแล้ว
การเมืองสูตรบ้านใหญ่ที่พรรคสืบทอดอำนาจเคยใช้อำนาจ คสช.เป็นพลังดูดให้คนเหล่านั้นเข้ามาร่วมงานกับพรรคก่อนการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ยังคงถูกนำมาใช้กับการเลือกตั้งครั้งหน้าเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าบรรดาบ้านใหญ่ทั้งหลายอาจจะไม่ได้สวมสีเสื้อเดิมในการสู้ศึกเลือกตั้ง อาจจะมีเพียงกลุ่มปากน้ำบ้านใหญ่แห่งสมุทรปราการเท่านั้นที่จะยังคงปักหลักสู้ศึกกับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ต่อไป ส่วนบ้านใหญ่ชลบุรีตระกูลคุณปลื้มเพื่อความมั่นใจในการกำชัยชนะอาจหวนคืนบ้านเก่าอย่างเพื่อไทย
ขณะที่บ้านริมน้ำของ “ตี๋กร่าง” สุชาติ ตันเจริญ แม้จะส่งลูกชายลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคนายใหญ่ แต่เจ้าตัวยังขอเวลาตัดสินใจ ประเด็นที่ว่าจะไปร่วมงานกับพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ หากมองท่าทีส่วนตัวในการปฏิบัติหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ซึ่งเคยฝากข้อความรุนแรงไปถึงท่านผู้นำนั้นอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะไปทำงานด้วยกันได้ แต่ในทางการเมืองขึ้นอยู่กับการเจรจาและเงื่อนไข หากตกลงกันได้อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ
บ้านใหญ่ที่ยังไม่ชัดเจนคงเป็นบ้านใหญ่สุราษฎร์ธานีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ได้รับการวางตัวให้เป็นมือทำงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติมาแต่ต้น ล่าสุด กลับมีกระแสข่าวว่าเทพเทือกจะไม่ได้มาร่วมงานกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ตัวเองเชิดชู ด้วยปัจจัยทั้งเสียงตอบรับของคนในพื้นที่แม้จะมีพวกนกหวีดที่เคยร่วมเป่ากันมาในการโค่นล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ยิ่งสถานการณ์ปัญหาปากท้องหนักหน่วง คะแนนนิยมส่วนตัวผู้นำเผด็จการแม้จะมีอยู่แต่ก็ใช่ว่าจะดีเหมือนที่ผ่านมา
ปัญหาสำคัญสำหรับพื้นที่ภาคใต้ของคนที่เคยเจรจากันไว้เพื่อจะมาร่วมงานกับรวมไทยสร้างชาติ แต่สุดท้ายอาจไม่มาตามนัด เป็นผลสืบเนื่องมาจากการปรับเก้าอี้รัฐมนตรี 3 ตำแหน่งที่ผ่านมา คนที่เป็นมือไม้ในพื้นที่ บรรดา ส.ส.ที่เป็นแกนหลักเพื่อที่จะนำพาผู้สมัครของพรรคผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจสู้ศึกเลือกตั้งกลับถูกมองข้าม การตั้ง ธนกร วังบุญคงชนะ ก่อผลสะเทือนอย่างยิ่งสำหรับการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสีเสื้อ แม้กระทั่งเทพเทือกที่ย้ำหนักย้ำหนาว่าเชื่อใจ ไว้ใจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังควันออกหู
ฟากของเพื่อไทยด้วยเป้าหมายแลนด์สไลด์ จึงทำให้กลายเป็นตำบลกระสุนตกไปโดยปริยาย ยิ่งบรรดาพวกทำไอโอให้กับฝ่ายกุมอำนาจ คอยเตะตัดขาอยู่ตลอดเวลา การชิมลางด้วยประเด็นมาเฟียจีนสีเทา เข้าไปเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับการซื้อบ้านของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลชินวัตร เป็นภาพสะท้อนให้เห็นแล้วว่า นี่เป็นปฏิบัติการที่จะดิสเครดิต แต่ไม่ใช่แค่ลดทอนความน่าเชื่อถือ ยังตั้งป้อมมีเป้าหมายว่าถ้าถึงขั้นยุบพรรคได้ด้วย
แต่กรณีนี้น่าจะยาก เพราะการดำเนินธุรกิจของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นสิ่งที่สามารถตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสได้อยู่แล้ว มิหนำซ้ำ ทำไปทำมาถ้าตั้งป้อมที่จะทำให้เป็นเรื่องทางการเมืองเพื่อหวังจะทำลายพรรคคู่แข่งที่ไม่ได้มีแค่เพื่อไทย แต่ยังพ่วงเอาพรรคสืบทอดอำนาจเข้าไปด้วย มันจะกลายเป็นระเบิดพลีชีพ วกกลับมากระทบต่องานด้านการต่างประเทศของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ยังปฏิบัติหน้าที่กันอยู่ และอาจรวมไปถึงทิศทางที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
ขณะเดียวกันที่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ประกาศนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท กับปริญญาตรีเงินเดือนสตาร์ท 25,000 บาทนั้น มันก็ชัดเจนในสิ่งที่พูดแล้วว่าไม่ได้ทำทันที แต่มีเป้าหมายจะทำให้ได้ภายในปี 2570 ซึ่งมันต้องใช้เวลาและดูสถานการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจด้วย เย้ยหยันกันทั้งผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและ สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีแรงงานว่าทำไม่ได้ คงลืมไปว่าแล้วพรรคไหนที่เคยชูนโยบายหาเสียงขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400-425 บาท การปรับเงินเดือนปริญญาตรี เป็น 20,000 บาท และ อาชีวะ 18,000 บาท แต่สุดท้ายทำไม่ได้จนต้องลบนโยบายไปจากเฟซบุ๊กของพรรค ใครกันที่หลอกประชาชน