1,400 จุดพลวัต2015
มีคนอ้างถึงเสมอมาว่า หลังจากงาน SET in the City เสร็จสิ้นเมื่อใด ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะบวกแรง สถิติย้อนหลังหลายปี พอจะอ้างอิงได้ว่ามีเค้าเช่นนั้น แต่ยังไม่อาจจะถือว่าเป็นสัจธรรมตายตัว
มีคนอ้างถึงเสมอมาว่า หลังจากงาน SET in the City เสร็จสิ้นเมื่อใด ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะบวกแรง สถิติย้อนหลังหลายปี พอจะอ้างอิงได้ว่ามีเค้าเช่นนั้น แต่ยังไม่อาจจะถือว่าเป็นสัจธรรมตายตัว
การประเมินโดยทั่วไป ระบุว่า งานดังกล่าว ทำให้กองทุน LTF/RMF ได้รับการซื้อจากนักลงทุนค่อนข้างเยอะ และกองทุนดังกล่าว จะทำเงินที่ได้รับมาเข้าลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะกองทุน LTF ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นโดยเฉพาะ จะเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดเข้าพอร์ต ซึ่งจะทำให้เพิ่มกำลังซื้อเข้ามา ดันดัชนีให้วิ่งสูงขึ้นตามธรรมชาติของอุปสงค์-อุปทานของตลาด
เพียงแต่การเข้ามาซื้อของกองทุนหลังงานดังกล่าว ไม่ได้เข้ามาอย่างตะกรุมตะกราม หรือผลีผลาม เพราะคนย่อมรู้จักนิสัยนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ดี กรณีเมื่อวานนี้ ที่มูลค่าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเบาบางอย่างมาก เพียงแค่ 2.8 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเวลาซื้อขายตอนตรุษจีนเมื่อต้นปีไม่มีผิด ทำให้ดัชนีปิดบวกไปเพียงแค่เล็กน้อย 0.38 จุด ไม่มีนัยสำคัญ เป็นตัวอย่างที่ดี
ไม่ได้เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น หากยังมีส่วนทำให้นักลงทุนอาจจะตั้งข้อกังขาว่า ดัชนีตลาดรอบนี้จะทะลุก้าวไปยืนเหนือ 1,400 จุดได้หรือไม่
นักวิเคราะห์ ผู้ช่ำชองตลาดหุ้นไทย (และมักจะผิดมากกว่าถูก) ให้คำอธิบายปรากฏการณ์วานนี้ว่า ตลาดแกว่งผันผวนในกรอบแคบๆ เพราะยังไม่มีปัจจัยผลักดันใหม่เข้ามา หลังปัจจัยภายนอกค่อนข้างเชื่อมั่นภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งมากขึ้น รวมทั้งคาดการณ์ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น
ที่สำคัญ ราคาน้ำมันดิบตอนบ่ายวานนี้ในตลาดโลกปรับตัวลดลง จากแรงวิตกอุปทานล้นตลาดเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนอยู่ ถือเป็นปัจจัยลบที่ถ่วงราคาหุ้นพลังงานเอาไว้ ซึ่งหลังจากปิดตลาดหุ้นไทยไปแล้ว ปรากฏว่าราคาน้ำมันเกิดการพลิกผันกลับมาบวกแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่ดัชนีหุ้นยุโรปที่ทำท่าลบแรงก็พลิกกลับมาทำท่าจะบวกเอาในช่วงหัวค่ำ
สิ่งที่น่าใจชื้นอย่างมาก คือ ตลาดหุ้นไทยได้เก็บแรงซื้อต่อเนื่องของกองทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อต่อเนื่องในตลาดอีกครั้ง แม้จะยังไม่มีภาพของการกลับเข้ามาซื้อชัดเจนในตลาดหุ้น แต่ในตลาดอนุพันธ์ล่วงหน้า การซื้อต่อเนื่องของต่างชาติ 3 วันต่อเนื่องถือเป็นทิศทางบวกที่ดี
นักวิเคราะห์ที่มองโลกทางบวกบางสำนัก ประเมินว่า ตัวเลขมูลค่าซื้อขายวานนี้ และดัชนีที่บวกต่ำมาก สะท้อนภาพการพักตัวของตลาดและนักลงทุนบางส่วนปรับพอร์ตโยกการลงทุนจากกลุ่มหุ้นที่มีราคาแพง มาลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีราคาถูก ขณะที่มีความเชื่อมั่นว่าเม็ดเงิน 1 หมื่นล้านบาทเศษจากกองทุน LTF ย่อมไม่หนีไปไหน ต้องเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเท่านั้นในเดือนนี้ และอีก 2 หมื่นล้านบาทเศษในเดือนธันวาคม ถือเป็นปัจจัยบวก
ดูจากสัญญาณเทคนิค ตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวในแดนบวกได้และการพักตัววานนี้ เกิดจากแนวต้านที่ยังแข็งแกร่ง แต่การที่ย่อยตัวลงมาที่ระดับแนวรับพอดีเมื่อวานนี้ ทำให้โอกาสที่วันนี้ ดัชนีจะสามารถรีบาวด์ขึ้นไปเหนือ 1,400 จุดได้อย่างแน่นอน และแม้ว่าอาจจะไม่ได้ แต่ก็ต้องเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้อย่างแน่นอน
ปัจจัยเสริมจากภายใน เนื่องจากรัฐบาลเริ่มมีมาตรการที่ผลิดอกออกผลทางเศรษฐกิจ และตลาดในประเทศย่างเข้าไตรมาสสุดท้าย พร้อมกับฤดูกาลท่องเที่ยวช่วงโค้งสุดท้ายของปี น่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยเฟื่องฟูได้ตลอดไตรมาส ทำให้เม็ดเงินสะพัด และช่วยผลประกอบการหุ้นหลายกลุ่มในตลาดมีความคึกคักอย่างเลี่ยงไม่พ้น
แม้จะเร็วเกินไปที่จะพูดว่า ดัชนีจะทะลุฝ่าแนวต้านเหนือ 1,400 จุดขึ้นไปได้หรือไม่ในวันนี้ แต่ทิศทางของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (ไม่นับสินแร่เหล็ก และทองแดง) ที่มีทิศทางเริ่มเป็นบวกมากขึ้น โดยเฉพาะแร่บางชนิด เช่น สังกะสี ได้ส่งสัญญาณล่วงหน้ามาแล้วว่า โอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในปีหน้า ยังมีความเป็นไปได้เสมอ โดยเฉพาะในจีนนั้น การปฏิรูปทางการเงินและตลาดในประเทศอย่างขนานใหญ่ของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังดำเนินไป ที่จะสร้างหลักประกันได้ว่า จะมีเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าฮาร์ด แลนดิ้งขึ้นมาอย่างชัดเจน
การจับกุมคนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ “โพยก๊วน” เอาส่งเงินเข้าออก “ใต้ดิน” ที่ยังมีเครือข่ายใหญ่โตในจีนในหลายปีมานี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความมั่นคงได้ว่า จีนจะไม่หวนคืนไปสู่เส้นทางหายนะอย่างแน่นอน แต่จะเติบโตไปกับปัญหาต่างๆ ที่สามารถก้าวข้ามไปได้ บางอย่างก็ง่ายดาย บางอย่างก็ยากลำบาก
ตัวเลขอีกรายหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมากคือ ดัชนี PMI ภาคการผลิตของยุโรโซนเมื่อวานนี้ที่ประกาศออกมาว่า สูงที่สุดในรอบ 7 เดือนของปีนี้ เป็นข่าวดีอย่างยิ่งว่า ภาวะเงินฝืดที่หวาดกลัวกันอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้
แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ การกลับมาของนโยบายเปิดเสรีทางการเงินและเจรจากันของชาติเจ้าหนี้ของอาร์เจนตินา ภายหลังการเลือกตั้งครั้งใหญ่ผ่านไป เป็นนิมิตหมายที่ดีว่า ความมีเหตุมีผลกำลังกลับมาสู่ตลาดหุ้นโลกอีกครั้งในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้
สิ่งที่ต้องติดตามให้กระชั้นชิดจากนี้ไป อยู่ที่ราคาน้ำมันในตลาดโลก เพราะการประชุมโอเปกต้นเดือนธันวาคมนี้ จะเป็นตัวชี้ขาดสำคัญว่าราคาหุ้นพลังงานจะเป็นขาลงหรือขาขึ้นกันแน่
ดัชนีหุ้นไทยวันนี้ 1,400 จุดจะขึ้นไปยืนเหนือได้หรือไม่ จึงไม่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับตัวแปรต่างๆ ในโลกยามนี้