พาราสาวะถี
ชัดเจนแล้วว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั้นจะส่งครบตามจำนวนกฎหมายกำหนดนั่นก็คือ 3 รายชื่อ แพทองธาร ชินวัตร เป็นหนึ่งในแดนดิเดตแน่นอน
ชัดเจนแล้วว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั้นจะส่งครบตามจำนวนกฎหมายกำหนดนั่นก็คือ 3 รายชื่อ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เป็นหนึ่งในแดนดิเดตแน่นอน ตามคำปราศรัยของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ บนเวทีครอบครัวเพื่อไทย แหลงจริง ทำได้ คนใต้หรอยแรง ที่หอประชุมเมืองนครศรีธรรมราช (ทุ่งท่าลาด) โดยยืนยันว่า “วันนี้เรามีนางสาวแพทองธาร เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน ส่วนอีก 2 คน อยู่ที่การคัดเลือกของกรรมการบริหารพรรค”
ในขณะที่อุ๊งอิ๊งก็ให้สัมภาษณ์ในเชิงยอมรับแม้จะออกตัวว่าที่สุดขึ้นอยู่กับพรรคจะตัดสินใจเลือกใคร ถ้ามีคนที่เหมาะสมกว่าตนก็ยอมรับ ไม่ใช่การวางทางถอย หากแต่ปลายทางคนแดนไกลอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ย่อมรู้ดีว่า ถนนสายเลือกตั้งกว่าจะถึงวันที่ประชาชนหย่อนบัตรชี้ชะตาแต่ละพรรคการเมืองนั้น ยังมีขวากหนามที่พรรคของตัวเองและผู้สมัครจะต้องเผชิญ โดยเฉพาะกับลูกสาวสุดรักสุดหวงเมื่อเปิดหน้าชกก็เท่ากับจะมีแรงกระแทกถาโถมเข้าใส่อย่างหนักหน่วง
เบื้องต้นก็ถูกลองเชิงไปแล้วกับปมมาเฟียจีนสีเทาที่ถูกเชื่อมโยงกับการไปซื้อบ้านจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลชินวัตร ล่าสุดทาง ป.ป.ช.ก็ออกมาให้ข่าวเตรียมที่จะเคาะการทุจริตโครงการจำนำข้าวรอบสอง หรือ จีทูจีภาค 2 ตัวละครที่ถูกกล่าวหาก็มี 3 พี่น้องชินวัตร “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-เยาวภา (วงศ์สวัสดิ์)” แต่หนนี้จะเพิ่มเติมความหนักแน่นในข้อกล่าวหาด้วยตัวพยานที่ชื่อ บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ถูกตัดสินจำคุก 42 ปีไปก่อนหน้านี้
ไม่ว่าทาง ป.ป.ช.จะชี้แจงอย่างไร จะให้มองว่าไม่เกี่ยวข้องกับทางการเมืองคงไม่มีใครเชื่อ เพราะเลือกจังหวะที่จะเล่นเรื่องนี้ในช่วงนี้ย่อมมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่อย่าลืมเป็นอันขาดไม่ว่าบทสรุปในคดีจะเป็นอย่างไร คงไม่ส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมีขึ้น สิ่งที่จะได้นอกเหนือจากความเชื่อที่ว่าคดีนี้จะทำลายคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยและผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว จะเป็นเพียงแค่ความสะใจของกองเชียร์ที่ยังไงก็เกลียดและไม่เลือกทักษิณและเครือข่ายอยู่แล้ว
การเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ว่าจะมีข้อกล่าวหาอย่างไรเพื่อไทยไม่ได้มีความหวั่นไหว ยิ่งประเด็นที่จ้องจะยุบพรรค เพราะกว่า 8 ปีที่ผ่านมานั้น มันได้พิสูจน์แล้วว่าการมีคนดีที่อุปโลกน์กันขึ้นมานั้นมันไม่ได้ช่วยทำให้ประเทศเกิดการพัฒนา ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น มิหนำซ้ำ เรื่องการทุจริตคอร์รัปชันก็ไม่ได้หายไป ยังหนักข้อกว่าการเมืองในอดีตเสียอีก เพียงแต่ว่ากลไกที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบต่างพร้อมใจกันหลับตาข้าง เนื่องจากพระคุณที่ค้ำคอกันอยู่
ขณะเดียวกัน การปฏิรูปประเทศที่ใช้เป็นข้ออ้างของการยึดอำนาจก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการปฏิรูปการเมืองถอยหลังลงคลองอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งการเมืองที่ว่าด้วยนักเลือกตั้งและพรรคการเมือง ก็เห็นกันอยู่การตกปลาในบ่อเพื่อนโดยผลประโยชน์มหาศาล การแจกกล้วยให้งูเห่า เหล่านี้คือตัวบ่งชี้คนดีเข้ามาทำก็ไม่ได้มีอะไรดีเด่ไปกว่านักการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าชั่วว่าเลวแม้แต่น้อย บางเรื่องยังสามานย์กว่านักการเมืองอาชีพเสียด้วยซ้ำ
แต่เมื่อหนทางกว่าจะถึงวันเลือกตั้งยังทอดยาวออกไปแม้ว่ายังไงเสียก็ต้องยุบสภา อะไรย่อมเกิดขึ้นได้ เพื่อไทยที่วางอุ๊งอิ๊งไว้เป็น 1 ในแคนดิเดตนายกฯ ก็ยังถูกมองว่าอาจจะเป็นเพียงตัวหลอก น่าจะมีใครเป็นตัวทีเด็ดมาเป็นคนเรียกคะแนนเสียงเพิ่มเติมซึ่ง เศรษฐา ทวีสิน จากแสนสิริถือเป็นเต็งหามที่จะเข้ามาสร้างความได้เปรียบให้กับพรรคนายใหญ่เหนือกว่าพรรคการเมืองอื่น ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล จากภูมิใจไทยก็ถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญ
ปัญหาของฝ่ายหลัง คือ หากจะเป็นนายกฯ ต้องไปจับมือกับพรรคการเมืองที่เป็นขั้วรัฐบาลปัจจุบัน คำถามสำคัญก็คือ แล้วพรรคเหล่านั้นจะได้ ส.ส.เข้ามามากพอที่จะร่วมกันตั้งรัฐบาลได้อย่างนั้นหรือ ประสานักการเมืองผู้คร่ำหวอด ต่อให้มีเสียง 250 ส.ว.ลากตั้งพร้อมที่จะยกมือหนุนให้เป็นนายกฯ ได้ แต่เสี่ยหนูย่อมรู้ดีว่าถ้ารวบรวมเสียง ส.ส.ไม่ได้เกิน 250 เสียง ซึ่งในทางการเมืองว่าด้วยเสถียรภาพจะต้องมีมากถึง 260 เสียงขึ้นไป การจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วสำหรับระบบการเมืองไทย
ด้วยโจทย์ที่กำหนดไว้เช่นนี้ เงื่อนไขที่จะได้เป็นนายกฯ ของเสี่ยหนูจึงยากเป็นอย่างยิ่ง แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อฝ่ายภูมิใจไทยตั้งเป้าไว้ว่าถ้าสามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ โดยที่พรรคของตัวเองมีคะแนนเป็นอันดับ 1 สิ่งที่เป็นคำถามต่อมาก็คือแล้วผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจการจะกระโดดเข้าร่วมขบวนโดยที่จะต้องเป็นเพียงแค่รองนายกฯ เท่านั้น รับเงื่อนไขแบบนี้ได้หรือไม่ มากไปกว่านั้นเวลานี้พรรครวมไทยสร้างชาติยังไม่สามารถการันตีได้เลยว่า หลังเลือกตั้งจะได้ ส.ส.มากพอถึง 25 ที่นั่งหรือไม่
แม้จะยืนยันได้ว่าจำนวน ส.ส.มีพอที่จะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ต่อที่ประชุมรัฐสภาได้ แต่ถ้าพรรคที่จะมาร่วมรัฐบาลไม่ยอมรับเงื่อนไขให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นนายกฯ อีกต่อไป บรรดา ส.ส.ทั้งหลายที่เตรียมจะย้ายตามมาย่อมเกิดภาวะชะงักงันเพื่อหยุดคิดทบทวน ดีดลูกคิดได้คุ้มเสียหรือไม่ มากไปกว่านั้น คือ ในเร็ววันนี้พวกที่จ้องจะเปลี่ยนสีเสื้อทั้งหลายกำลังรอจับจ้องดูการไขก๊อกของบรรดา ส.ส.กลุ่มหนึ่งจำนวน 30-40 คนว่าจะเข้าไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยทั้งหมดหรือไม่
หากทั้งหมดตัดสินใจแน่วแน่ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นย่อมเป็นตัวชี้วัดทิศทางการเมืองหลังเลือกตั้งว่าแนวโน้มของพรรคที่จะเป็นแกนนำหรือคนที่จะเป็นนายกฯ คือใคร ต่อให้ไม่ได้เป็นนายกฯ หรือแกนนำตั้งรัฐบาล แต่อย่างน้อยก็การันตีได้ว่าได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลแน่นอน นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ดีลที่เคยว่าจะมี ส.ส.จำนวนไม่น้อยย้ายตามผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไปยังรวมไทยสร้างชาติไม่สามารถที่จะปิดการเจรจาได้ ไม่ใช่เรื่องการต่อรองราคาหากแต่เป็นการตัดสินอนาคต ยิ่งเป็นพวกที่อยู่ซีกรัฐบาลร่วมกันหรือได้รับการดูแลอยู่ ยิ่งมองเห็นแล้วว่า การได้รับแต่กล้วยสู้การอยู่กับผู้ชนะแล้วทำมาหากินกันยาว ๆ ไม่ได้