ลุ้น DTCENT เทรดวันแรกทะลุเป้า 3.30 บ. ชูผู้นำ GPS Tracking เบอร์ 1 ไทย

จับตา DTCENT เทรดวันแรกทะลุเป้า 3.30 บ. ชูจุดเด่นผู้นำระบบ GPS Tracking เบอร์ 1 ของไทย มี 2 พันธมิตรธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้ง YAZAKI - BOON RAWD Supply Chain คาดกำไรเติบโตเฉลี่ย 46-52%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 ธ.ค.65) บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DTCENT ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการระบบติดตามยานพาหนะด้วยดาวเทียม (GPS Tracking) ครบวงจร ตั้งแต่ ออกแบบ ผลิต จัดจำหน่าย ให้บริการเช่าอุปกรณ์ รวมถึงพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับบริหารงานขนส่ง ให้แก่ลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน โดยครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ของประเทศ ทำให้ได้รับความเชื่อมั่นจาก บริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) บริษัทชั้นนำด้านโลจิสติกส์ และ บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนสำหรับยานพาหนะขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ (Strategic Shareholder) ถือเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเสริมช่องทางการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ รวมถึงแผนการขยายธุรกิจด้านไอโอทีโซลูชั่น (IoT Solution) เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “DTCENT

สำหรับ DTCENT มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 602.50 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 900 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) 305 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 228.75 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทและบริษัทย่อย 45.75 ล้านหุ้น และ กรรมการ ผู้บริหาร พนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย 30.50 ล้านหุ้น ในวันที่ 1-2, 6 ธันวาคม 2565 ราคาหุ้นละ 2.86 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 872.30 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 3,446.30 ล้านบาท โดยมีบริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ

โดย DTCENT มีผู้ถือหุ้น 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ (1) กลุ่มครอบครัวนายทศพล และนางสาวจิราพร ถือหุ้น 48.93% (2) บจก. ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้น 13.44% (3) บจก. บุญรอด ซัพพลายเชน ถือหุ้น 11.20% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO จะพิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio : P/E)

ทั้งนี้ ราคาที่เสนอขายคิดเป็นอัตราส่วน P/E เท่ากับ 46.78 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของบริษัทที่ 0.06 บาท/หุ้น ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ (Fully Diluted) โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย

ด้านนายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ DTCENT เปิดเผยว่า การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพฐานทุนรองรับแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ IoT Solution เพิ่มเติมกับภาครัฐและเอกชนในอนาคต รวมถึงการลงทุนสร้างศูนย์บริหารจัดการและบริการข้อมูลยานพาหนะ  (Vehicle Monitoring and Support Center) และลงทุนในธุรกิจที่คล้ายคลึงและมีความเกี่ยวเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และโอกาสในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศ และไปยังต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้

ขณะเดียวกันบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้น DTCENT ประเมินราคาเหมาะสม DTCENT ด้วยวิธี Prospective PER เทียบกับกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการอุปกรณ์และระบบ Global Positioning System (GPS) ที่ระดับ 24 เท่า ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ประกอบกับคาดกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2566 ราว 0.14 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมราว 3.30 บาท

โดยคาดการณ์รายได้ปี 2565-2566 ราว 702 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อน และ 977 ล้านบาท เติบโต 39% ตามลำดับ หรือเติบโตต่อปีเฉลี่ย 29% (CAGR) ส่วนกำไรปี 2565-2566 คาดอยู่ที่ราว 106 ล้านบาท เติบโต 38% จากปีก่อน และ 165 ล้านบาท เติบโต 55% ตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ย CAGR 46% ต่อปี

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการประมาณรายได้ปี 2565-2567 เท่ากับ 709.1 ล้านบาท เติบโต 21.1%จากปีก่อน, 1,013.2 ล้านบาท เติบโต 42.9% และ 1,144.7 ล้านบาท เติบโต 13% คิดเป็น CAGR ในช่วง 3 ปี เท่ากับ 27.1% ซึ่งรายได้จากการขายเติบโตโดดเด่นจากโครงการ และงาน IoT ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยยะในปี 2566 ด้านอัตรากำไรขั้นต้น มองว่าจะกลับไปสู่ระดับที่เหนือกว่า 50% ส่วนกำไรสุทธิในปี 2565-2567 ได้คาดการณ์ที่ระดับ 86.83 ล้านบาท เติบโต 12.4%, 157.2 ล้านบาท เติบโต 81.0% และ 201.6 ล้านบาท เติบโต 28.3% ตามลำดับ ด้านอัตรากำไรสุทธิ ปรับตัวขึ้นที่ระดับ 12.2%, 15.5% และ 17.6% ตามลำดับ ทั้งนี้ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมสิ้นปี 2566 เท่ากับ 3.24 บาท อิง Justified PE ที่ระดับ 24.87 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย P/E ของกลุ่ม SETTECH ที่ระดับ 26.54 เท่า

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรสุทธิปี 2565 ฟื้น 31.8% จากปีก่อน และก้าวกระโดด 118.7% ในปี 2566 และโตต่อเนื่อง 5.2%  ในปี 2567 คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 51.7% CAGR (2565-2567) จากธุรกิจหลักเดิม และการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมการเพิ่มขึ้นของโครงการ IoT โดยอาศัยประสบการณ์กว่า 25 ของบริษัทและพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่มยาซากิและเครือบุญรอด โดยประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมสำหรับปี 2566 ที่ 3.20 บาท อิง PE 17.0 เท่า

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ประเมินราคาเป้าหมายในปี 2566 ของ DTCENT ไว้ที่ 3.06 บาท โดยประเมินจากการคาดการณ์กำไรต่อหุ้นในปี 2565 (หลังเพิ่มทุน) อยู่ที่ 0.08 บาทต่อหุ้น และปี 2566 ที่ 0.13 บาทต่อหุ้น โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมของ DTCENT จากวิธี PE ที่ระดับ 23 เท่า เนื่องจากธุรกิจมีการเติบโตที่ดีกว่าอุตสาหกรรม

โดยคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลในปี 2565 และ 2566 ในอัตรา 0.023 บาท และ 0.039 บาท (สมมติฐานนโยบายการจ่ายเงินปันผล) โดยคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิในปี 2565 อยู่ที่ 93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8% และปี 2566 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% โดยการเติบโตมาจากการขยายงาน IoT ซึ่งเป็นแผนการขยายการลงทุนของบริษัท ซึ่งเงินลงทุนส่วนหนึ่งมาจากการระดมทุนผ่านการทำ IPO ในครั้งนี้

ทั้งนี้ มีมุมมองเป็นบวกต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคตของบริษัท ที่จะมาจากทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการขยายงานให้บริการพัฒนาโครงการ IoT Solution กับภาครัฐฯ ได้แก่ โครงการเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ในเขตเทศบาลในจังหวัดต่างๆ รวมไปถึงการขยายตลาดต่างประเทศ คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2567 มองเป็น Upside Potential ของบริษัทในระยะยาว

Back to top button