ดอกเบี้ยบังหน้า!
ไป ๆ มา ๆ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ติดกับดักเรื่องเดิม ๆ ที่รับรู้กันมาพักใหญ่อย่าง “ดอกเบี้ยขาขึ้น” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ทำให้เดี๊ยนสับสนเป็นประจำ
ไป ๆ มา ๆ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ติดกับดักเรื่องเดิม ๆ ที่รับรู้กันมาพักใหญ่อย่าง “ดอกเบี้ยขาขึ้น” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ทำให้เดี๊ยนสับสนเป็นประจำ เพราะบางครั้งก็ดูเหมือนจะชินชากับเรื่องนี้ไปแล้ว แต่บางครั้งก็ดูเหมือนจะกังวลกับเรื่องนี้พอสมควร “โมนิก้า” ถึงกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า การขึ้นลงของตลาดหุ้นทั่วโลก..เอาเรื่องดอกเบี้ยขึ้นมาบังหน้าเป็นประจำ จึงต้องเข้าใจการเคลื่อนตัวของหุ้นทั่วโลกด้วยนะคะ
ประเด็นดังกล่าวดูได้จากการเคลื่อนตัวของดัชนีดาวโจนส์นับตั้งแต่เดือน เม.ย.-ธ.ค. มีกรอบการเคลื่อนตัวอยู่ที่ 35,000-29,000 จุด โดยลักษณะการขยับตัวเป็นแบบ W-Shape และเมื่ออ้างอิงจากเรื่องดอกเบี้ยเป็นประเด็นสำคัญ ก็จะเห็นภาพที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดอกเบี้ยได้ชัดเจนขึ้น “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นทำตัวเป็นชาวสวนมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรช่วงสั้นไงล่ะคะ
ที่สำคัญคือ เมื่อนับเฉพาะเดือน ต.ค. ที่ดัชนีอยู่ตรงบริเวณ 29,000 จุด แต่หลังจากนั้นปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ และไม่ยี่หระต่อความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยแม้แต่นิดเดียว จนล่าสุดดัชนีขึ้นมายืนอยู่ที่บริเวณ 34,000 จุด โดยระหว่างทางก็เห็นเฟดมีการประกาศขึ้นดอกเบี้ยเป็นระยะ แต่ดัชนีดาวโจนส์ก็ไต่เพดานบินขึ้นมาเรื่อย ๆ จึงกลายเป็นเกมทุบหุ้นที่แฟนคลับต้องทำความเข้าใจอีกครั้งจ้า
ฉะนั้นการที่ดัชนีทรุดฮวบลงมาปิดที่ระดับ 1,620.28 จุด ลบไป 13.08 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.86 หมื่นล้านบาท ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ และไม่มีอะไรซีเรียสมากนัก เพราะดัชนียังประคองตัวเหนือแนวรับ 1,600 จุดอย่างเหนียวแน่น รวมทั้งผลงานของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4 ก็ยังอยู่ในลู่ทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง จึงกลายเป็นจังหวะของการสวนกระแส เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับชีวิตขาลุยนะจ๊ะ
โดยเฉพาะแรงขายที่สาดใส่หุ้นสะดวกซื้ออย่าง CPALL ก็เป็นเรื่องปกติของหุ้นที่อยู่ในลักษณะแกว่งตัวขึ้น แถมราคาที่เห็นก็เป็นระดับที่เล่นกับอนาคตมากเกินไป “โมนิก้า” ถึงไม่วอรี่หากจะมีแรงขายสาดใส่ลงมาอีก เพราะบรรยากาศการลงทุนไม่เอื้อให้หุ้นไปต่อสวย ๆ เหมือนที่ผ่านมา และการยืนปิดที่ระดับ 65.25 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 1.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.72 พันล้านบาท จึงเข้าใจได้เป็นอย่างดีเจ้าค่ะ
ถ้าเข้าใจเรื่องข้างต้นได้ในระดับหนึ่ง น่าจะเข้าใจการขึ้นของ BGRIM อย่างร้อนแรงได้เช่นกัน เพราะการขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 39.25 บาท บวกไป 1.25 บาท หรือขึ้นไป 3.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.41 พันล้านบาท ล้วนเป็นผลมาจากการขึ้นค่าเอฟทีภาคเอกชน ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้กำไรในงวดถัดไปดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ “โมนิก้า” ถึงมองสถานการณ์ของหุ้นต่อจากนี้น่าสนใจมาก ๆ เพราะอาจเป็นการเปลี่ยนฐานใหม่ที่สูงกว่าเดิมอย่างเต็มตัวค่ะ
ส่วนรายที่ยังอยู่ในอาการเมาหมัดไม่หาย “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นปั๊มน้ำมัน OR เพราะแรงขายยังไม่ซาลงสักที ทั้งที่โดนรินขายเป็นเวลานาน เดี๊ยนเลยสงสัยว่า การยืนปิดที่ระดับ 24.10 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 0.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 590 ล้านบาท อาจเป็นการส่งสัญญาณขายรอบใหม่ที่หนักกว่าเดิม หลังนักเล่นกลุ่ม “กองทุน” กับ “ต่างชาติ” เริ่มขายหนักอีกรอบน่ะซี
ประเด็นขายหนักทำให้ “โมนิก้า” เลือกมองไปที่หุ้น ONEE เพราะการลงมาทำ all time low ด้วยการยืนปิดที่ระดับ 8.35 บาท ลบไป 0.35 บาท หรือลงไป 4% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 355 ล้านบาท มันเกิดจากความผิดหวังที่มีต่อผู้ถือหุ้นใหญ่ซึ่งเป็นคนโยนบิ๊กล็อตต่ำกว่ากระดานเกือบ 10% เพราะในมุมของนักเล่นที่คิดลบจนเป็นนิสัย เขาเม้าท์ถึงอาการในลักษณะนี้ว่า ฝากขาย..ส่วนจะจริงเท็จประการใด ก็รอดูกันต่อไปค่ะ
คล้ายกับการย่อตัวของหุ้นความงาม KLINIQ ก็มีประเด็นให้เม้าท์มอยกันไม่หยุดหย่อนเช่นกัน ก็เลยไม่รู้ว่า การร่วงลงมาปิดที่ระดับ 38.75 บาท ลบไป 1.75 บาท หรือลงไป 4.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 137 ล้านบาท มันมาจากบรรยากาศตลาดหุ้นไม่เอื้อให้เล่นต่อ หรือพวกขาใหญ่เริ่มถอนตัวออกไปบางส่วน จึงอนุมานได้ว่า หุ้นมีโอกาส “ไหลลง” มากกว่า “เด้งกลับ” ก็เท่านั้นเองจ้า