พาราสาวะถี

มันไม่ใช่ความหงุดหงิดอันเนื่องมาจากคำถามที่เซ้าซี้ รุกเร้าจะเอาคำตอบให้ได้ของนักข่าวต่อความชัดเจนทางการเมือง


มันไม่ใช่ความหงุดหงิดอันเนื่องมาจากคำถามที่เซ้าซี้ รุกเร้าจะเอาคำตอบให้ได้ของนักข่าวต่อความชัดเจนทางการเมือง แต่เรื่องที่ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจขุ่นข้องหมองใจ จนนำมาซึ่งการแสดงอารมณ์ไม่พอใจเป็นเพราะจังหวะก้าวที่ตัวเองเตรียมการไว้นั้น มันเชื่องช้าไม่ทันต่อก้าวย่างของพรรคการเมืองอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกในรัฐบาลทั้งพรรคสืบทอดอำนาจ พรรคภูมิใจไทย ยิ่งพรรคของ อนุทิน ชาญวีรกูล ยิ่งเดินนำหน้าไปไกลหลายช่วงตัว

ภาวะเงื้อง่าของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เป็นการรีรอเพื่อรักษาภาพ ภาพที่ถูกอุปโลกน์ว่าเป็นคนดี เป็นคนที่เข้ามาปฏิรูปการเมือง การจะกระโจนเข้าสู่สนามการเมืองแบบเต็มตัว จึงจะต้องไม่เป็นการเดินตามรอยสิ่งที่พรรคการเมืองชั่วนักการเมืองเลวทั้งหลายทำกัน แต่ไม่ว่ากระบวนการคิด และวิธีการที่ทำจะเป็นอย่างไร สุดท้ายก็ไม่ได้หนีไปจากวังวนการเมืองแบบเดิม ๆ อันเห็นได้จากการโยก ดิสทัต โหตระกิตย์ จากเลขาธิการนายกรัฐมนตรีไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ

เพื่อเปิดทางให้ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มานั่งเลขาธิการนายกฯ แทน ตรงนี้จะให้มองมุมไหนว่าไม่ได้หวังผลทางการเมืองเมื่อพีระพันธุ์มีหัวโขนเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะไปเดินหน้าถือธงนำเข้าสู่สนามการเลือกตั้ง ไม่ต่างจากการตั้ง ธนกร วังบุญคงชนะ ให้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ก่อนหน้า ก็ล้วนเพื่อหวังผลทางการเมืองทั้งสิ้น เห็นได้จากการมอบหมายงานให้คุมกรมประชาสัมพันธ์จากเดิมที่อยู่ในการดูแลของ อนุชา นาคาศัย ที่ยังปักหลักกับพรรคสืบทอดอำนาจ

มิหนำซ้ำ ยังสั่งให้ลุยงานแรกด้วยการไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นการใช้งานบ้านเมืองที่เจ้าตัวอ้างว่าต้องมาก่อน เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับการเมือง เพราะธนกรก็ย้ำนักย้ำหนาว่า แม้จะเป็น ส.ส.พรรคสืบทอดอำนาจในวันนี้ แต่เมื่อนายกฯ มีความชัดเจนแล้ว ตนก็จะไปกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ พูดง่าย ๆ ก็คือรอเพียงเวลาที่จะย้ายพรรคเท่านั้น นั่นก็ทำให้เห็นว่าการทำการเมืองของท่านผู้นำก็ใช้สูตรตกปลาในบ่อเพื่อนเหมือนกัน

ความหงุดหงิดที่ยิ่งนานวันยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะท่าทีที่ทอดยาวไปเรื่อย ๆ นั้น มันส่งผลให้บรรดา ส.ส. หรืองูเห่ากินกล้วยทั้งหลาย ได้ปฏิเสธการที่จะมาร่วมงานกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ณ รวมไทยสร้างชาติ เด่นชัดยิ่งว่าหลั่งไหลไปรวมกับเสี่ยหนูที่ภูมิใจไทยอย่างคึกคัก ขณะที่พรรคของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.มีทั้งดูดจากต่างพรรค และดึงพวกที่เป็นหอกข้างแคร่ ไม้เบื่อไม้เมากับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกลับมาทำงานร่วมกันอย่างหน้าชื่นตาบาน

จังหวะก้าวของสองพรรคร่วมรัฐบาลเป็นแรงบีบคั้นให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องเร่งแสดงความชัดเจนทางการเมือง เมื่อพร้อมที่จะไปต่อต้องกำหนดเป้าหมายว่าจะเดินหน้ากับการเมืองหลังเลือกตั้งด้วยความพร้อมเป็นนายกฯ อีก 2 ปีที่เหลือ หรือเหลือเพียงแค่ขอให้พรรคที่ไปสังกัดให้มี ส.ส.มากพอที่จะได้รับโอกาสร่วมรัฐบาล โดยที่ตัวเองพร้อมที่จะรับทุกตำแหน่ง เพราะการสยายปีกแสดงพลังของอนุทินและภูมิใจไทย คงไม่ได้หวังแค่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลและได้กระทรวงเกรดเอไปบริหารเหมือนที่ผ่านมาเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ความคึกคักและฮึกเหิมของภูมิใจไทยที่กวาดต้อน ส.ส.จากหลายพรรคไปร่วมงาน มันก็ทำให้เกิดคำถามวกกลับมายังตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ประกาศตัวว่าทำการเมืองสุจริต ปฏิรูปการเมืองให้ดีขึ้น แต่การตุนกระสุนเต็มกระเป๋าแจกกล้วยกันแบบไม่อั้น ถามว่าพลังดูดเช่นนี้มาจากไหน ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้พลังหนุนของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจำนวนไม่น้อยเสื่อมศรัทธา ส่งผลต่อความนิยมที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง

จะว่าไปความหงุดหงิดของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอันเกิดจากพรรคร่วมรัฐบาลพากันสำแดงพลังดูดอย่างอึกทึกครึกโครมก็ไม่น่าจะเคืองกันมากอะไรขนาดนั้น เพราะความจริงตัวท่านผู้นำเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมาก็ได้เชิญว่าที่ผู้สมัครและ ส.ส.ที่จะไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติมากินข้าวด้วยกันแล้ว พร้อมคำยืนยันที่ว่า “มาขนาดนี้แล้ว ชัดเจนแล้วหรือยัง” เป็นคำตอบแทนคำถามที่ว่าจะเข้าร่วมพรรคดังกล่าวจริงหรือไม่ หรือว่ามีหลายคนที่นัดแล้วไม่มา

อย่างไรก็ตาม การที่มีข่าวนัดกินข้าวกับ ส.ส.เช่นนี้มันก็ทำให้วกกลับไปถึงประเด็นที่ว่าแล้วฝ่ายกุมอำนาจปล่อยให้เกิดปัญหาสภาล่มได้อย่างไร การที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอ้างว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติตนไม่อาจไปก้าวก่ายได้ ตรงนั้นเป็นเรื่องเชิงหลักการ แต่ความจริงแล้วเพื่อความเป็นเอกภาพและสะท้อนให้เห็นถึงความมีเสถียรภาพของรัฐบาลมันต้องขอกันได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมเป็นการตอกย้ำถึงความเสื่อมในอำนาจของผู้นำที่ก่อนหน้านี้พูดแล้วทุกคนทุกพรรคฟัง แต่นาทีนี้ทำเป็นหูทวนลมกันทั้งหมด

หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ ปลายทางย่อมหนีไม่พ้นการยุบสภา เพราะถือเป็นปัจจัยเร่งที่สำคัญ รัฐบาลขาดเอกภาพ ส่งผลให้ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถทำหน้าที่ตามที่ควรจะเป็น ทั้งที่ตามแผนของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคือ จะประกาศความชัดเจนทางการเมืองหลังปิดสมัยประชุมสภาไปแล้ว ถ้า ส.ส.ลาออกกันต่อเนื่อง และยังมีปมสภาล่มซ้ำซาก มันก็ยากที่จะฝืนความเป็นจริงได้ ยิ่งการตั้งพีระพันธุ์เป็นเลขาธิการนายกฯ ซึ่งคาดว่าจะนำเสนอในที่ประชุม ครม.อังคารนี้ การเลือกตั้งก็อาจจะมาเร็วกว่าที่คิด

ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วประชาชนส่วนใหญ่เชื่อได้ว่ามีการตัดสินใจทางการเมืองไว้แล้วจะเลือกใคร พรรคไหน ในแง่ของนโยบายความพร้อมคงอยู่ที่เพื่อไทย การโยนหินถามทางด้วยค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท จบปริญญาตรีเดือนละ 25,000 บาทแค่น้ำจิ้ม ส่วนคู่แข่งสำคัญอย่างภูมิใจไทยก็จะใช้ชูประชานิยมที่ทำมาช่วงเป็นรัฐบาลโดยเฉพาะกัญชาเสรีเป็นจุดขายเพื่อตอกย้ำว่าพูดแล้วทำของจริง แต่โจทย์สำคัญคือประชาชน “ต้องการความเปลี่ยนแปลง”

นี่คือสิ่งที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมสุดโต่งพากันคิดหนัก เพราะผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ใช้เวลากว่า 8 ปีทำลายความหวังเห็นการเปลี่ยนแปลงของประชาชนไปหมดแล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะพลิกฟื้นสถานการณ์ให้กลับมากุมความได้เปรียบอีก เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งที่จะช่วยได้คือไสยศาสตร์ทางกฎหมาย เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ขบวนการสืบทอดอำนาจใช้ค้ำยันอำนาจมาถึงปัจจุบัน ใครที่คิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นอย่าเพิ่งด่วนสรุป

Back to top button