PLUS ดีด 3% มั่นใจรายได้ปี 65 นิวไฮทะลุ 1.5 พันล้าน รับออเดอร์ทะลัก
PLUS ดีด 3% ส่งซิกไตรมาส 4/65 โตต่อเนื่อง รับคำสั่งซื้อสินค้าไหลเข้าต่อเนื่อง หนุนรายได้ปี 65 ทำนิวไฮทะลุ 1.5 พันล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ธ.ค.65) ราคาหุ้น บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS ณ เวลา 10:59 น. อยู่ที่ระดับ 8.05 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 3.21% สูงสุดที่ระดับ 8.05 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 11.41 ล้านบาท
นายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2565 จะอยู่ในทิศทางที่ดี เนื่องจากได้รับคำสั่งซื้อ (Order) กลับสู่ภาวะปกติจากโควิด-19 ที่คลี่คลาย และตลาดส่งออกที่คิดเป็น 99% ขยายตัว โดยเฉพาะออเดอร์จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหลัก สะท้อนจากสินค้ากลุ่มหลัก ได้แก่ น้ำนมมะพร้าว และน้ำมะพร้าว มียอดขายเติบโตขึ้นบนฐานต้นทุนวัตถุที่ทรงตัว แม้จะมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อ เศรษฐกิจที่ถดถอย บาทแข็งค่าขึ้น และจีนยังไม่เปิดประเทศ
ทั้งนี้บริษัทมีกลยุทธ์การส่งออกดังนี้
1. ตลาดสหรัฐอเมริกา มีการช่วยตัวแทนกระจายสินค้า (Distributor) ขยายตลาด และช่องทางจำหน่ายใหม่ ซึ่งปัจจุบันมีการวางจำหน่ายในห้างวอลมาร์ทมากกว่า 2,000 สาขา และปี 2566 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และ Distributor รายอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการเจรจาหลายราย และมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อรองรับการขยายตลาดด้วย
2. ตลาดตะวันออกกลาง จะมีการขยายตลาด และหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคได้มากขึ้น
3.ตลาดเอเชีย จะเน้นสร้างแบรนด์ของบริษัทมากขึ้น
4. ตลาดโอเชียเนีย และยุโรป จะเน้นสินค้าใหม่เพื่อสุขภาพ (Plant Based) ซึ่งปัจจุบันเริ่่มกระจายสินค้า COCO GURT และ COCONUT MILK เรียบร้อยแล้ว
5. ตลาดจีน มีการโฆษณามากขึ้น และ 6.ตลาดไทย จะเน้นขยายช่องทางการจำหน่าย และทำการตลาดมากขึ้น เพื่อสร้างแบรนด์
สำหรับรายได้จากการขายทั้งปี 2565 มั่นใจจะเติบโตสูงกว่าเป้าหมายทะลุระดับ 1,500 ล้านบาท หรือเติบโต 50% จากปี 2564 ที่มีรายได้รวม 1,000 ล้านบาท ซึ่ง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีรายได้รวมแล้ว 1,216 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) และมีกำไรมากกว่าทั้งปี 2564 แล้ว โดยเป็นไปตามออเดอร์ที่ฟื้นตัวตามการบริโภค และมีสัดส่วนยอดขายจากแบรนด์บริษัทเอง 10% และที่เหลือ 90% เป็นการรับจ้างผลิต (OEM)
ส่วนทิศทางผลการดำเนินงานในปี 2566 เบื้องต้นตั้งเป้าหมายจะมีรายได้จากการขายเติบโต 20-30% จากปี 2565 และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมองว่าต้นทุนราคาวัตถุดิบจะทรงตัวต่อเนื่อง บวกกับการขยายช่องทางการขายของตลาดในแต่ละภูมิภาค อีกครั้งจะสามารถลดค่าไฟได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 เป็นต้นไป หลังดำเนินการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป 1 เมกะวัตต์ (MW)