CPF-TU แข่งซื้อหุ้นคืน.!

เอ๊ะ..!! ถ้าดูจากราคาหุ้น CPF และ TU ที่นอนแช่แป้งไม่ไปไหน โดยรอบ 6 เดือน ราคาหุ้น CPF ทรุดลงไป 2.46% ขณะที่ราคาหุ้น TU ทรุดลงไป 4.55%


เอ๊ะ..!! ถ้าดูจากราคาหุ้นบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ที่นอนแช่แป้งไม่ไปไหน โดยรอบ 6 เดือน ราคาหุ้น CPF ทรุดลงไป 2.46% ขณะที่ราคาหุ้น TU ทรุดลงไป 4.55% ก็ไม่น่าแปลกใจที่เห็นทั้งสองบริษัทต้องงัดไม้ตายประกาศซื้อหุ้นคืน..!!

โดยมติบอร์ด CPF เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา ประกาศทุ่มงบก้อนโต 5,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืน 200 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 2.32% เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 2565 ถึงวันที่ 18 มิ.ย. 2566 หลังจากนั้นจะจําหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. 2566 ถึงวันที่ 18 มิ.ย. 2569 (ภายหลัง 3 เดือน นับแต่การซื้อหุ้นคืนเสร็จสิ้น แต่ต้องไม่เกิน 3 ปี) โดยจะเสนอขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ

ฟากมติบอร์ด TU เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2565 ไฟเขียวให้ทุ่มงบ 3,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืน 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.19% เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. 2566 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2566 และจะเสนอขายหุ้นที่ซื้อคืนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายหลัง 6 เดือน นับแต่การซื้อหุ้นคืนเสร็จสิ้น แต่ต้องไม่เกิน 3 ปี

บ่งบอกว่า CPF กับ TU จะไม่ทนกับราคาหุ้นที่ทรง ๆ ทรุด ๆ แล้วนะ…!!

ที่จริงทั้ง CPF และ TU ก็มีสตอรี่เชิงบวกรองรับอยู่นะ…โดย CPF สถานการณ์ถือว่าดีขึ้นตามลำดับ เนื่องจากมีปัจจัยบวกจาก 1) เงินบาทที่อ่อนค่า โอเค…แม้ตอนนี้กลับมาแข็งค่าขึ้นจนต่ำกว่า 35 บาทแล้ว แต่ก่อนหน้านี้อ่อนยวบยาบทะลุ 38 บาทเลยนะ นั่นหมายความว่า CPF ซึ่งมีธุรกิจอยู่ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ได้รับผลบวกไปเต็ม ๆ…

2) ทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวจากโควิด ซึ่งหมายถึงการบริโภคหมูไก่ในประเทศต่าง ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย และ 3) ราคาหมูและไก่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง

แต่ CPF ก็ยังครองตำแหน่งหุ้นหมีทองคำเสมอต้นเสมอปลาย…โดยราคาหุ้นไม่สามารถผ่านด่านแนวต้านกำแพงเมืองจีนที่ 30 บาทได้ซะที..!!

ด้าน TU ก็มีปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนยวบยาบ และตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลประกอบการของ Red Lobster ค่อย ๆ ดีขึ้น โดยงบงวดไตรมาส 3/2565 TU โชว์ผลงานนิวไฮ ฟาดกำไรสุทธิไป 2,530 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 1,936 ล้านบาท และมียอดขาย 40,756 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 35,539 ล้านบาท

แถมล่าสุดเพิ่งหย่านมลูก บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา (9 ธ.ค. 2565) ก็น่าจะทำให้แวลู TU เปลี๊ยนไป๋…แต่ราคาหุ้นไม่หือไม่อือ..!! ไปไม่ถึงแนวต้าน 20 บาทสักที…

ขณะที่ดูโครงสร้างทางการเงินของทั้งคู่ก็น่าสนใจ…TU มี P/BV อยู่ที่ 1.28 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดที่ปัจจุบันซื้อขาย P/BV เฉลี่ยที่ 1.60 ท่า ส่วนราคาที่เทรดกันในปัจจุบันอยู่ที่ 16 บาทเศษ ก็หนีไม่ไกลจากบุ๊กแวลู 13.08 บาท ด้าน CPF ปัจจุบันซื้อขายกันที่ 24 บาทเศษ ซึ่งต่ำกว่าบุ๊กแวลูที่ 30.65 บาท และมี P/BV อยู่ที่ 0.80 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดที่ 1.60 เท่าเช่นกัน

แล้วถ้าไปส่องสถานะทางการเงินของทั้งคู่…ณ วันที่ 30 ก.ย. 2565 CPF มีกําไรสะสม 63,474 ล้านบาท มีเงินสดคงเหลือ 2,229 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีเงินปันผลเข้ามาอีกก้อนราว 9,500 ล้านบาท ส่วน TU มีกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรร 26,201 ล้านบาท มีเงินสดจำนวน 628 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2565 เพิ่งได้เงินจากการนำ ITC เข้าตลาดมาอีก 1,885 ล้านบาท รวมทั้งจะได้รับเงินปันผลและดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเข้ามาอีกก้อนราว 2,375 ล้านบาท

ด้วยทั้งคู่มีเงินสดล้นมือก็เลยตัดสินใจซื้อหุ้นคืนซะเลย..!! เพื่อหวังกอบกู้ราคาหุ้นให้มีเสถียรภาพและดูดีขึ้น ส่วนจะดีขึ้นขนาดไหน…อันนี้ยังตอบยาก…

แต่ถ้าดูจากวันแรกที่ CPF ประกาศซื้อหุ้นคืน ราคาปรับขึ้นไป 2.09% ส่วนวานนี้ (19 ธ.ค.) ติดลบไป 1.23% ขณะที่ TU หลังประกาศซื้อหุ้นคืน ราคาปรับขึ้นเล็กน้อย 0.60% และวานนี้ปรับเพิ่มขึ้นอีก 1.19%…ไม่แคล้วถูกมองว่าทั้งคู่อาจจะตายด้านไปแล้วละมั้ง..!?

…อิ อิ อิ…

Back to top button