จับตาตัวเลขศก.ต่างประเทศ SET พรุ่งนี้เสี่ยงลงต่อ

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส มองแนวโน้มการลงทุนพรุ่งนี้ (25 พ.ย.) ตลาดมีโอกาสอ่อนตัวลงได้ พร้อมให้ติดตามความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ, ราคาน้ำมัน และตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศชั้นนำอย่าง สหรัฐฯ, จีน, ยุโรป และญี่ปุ่น โดยให้แนวรับ 1,375-1,370 จุด ส่วนแนวต้าน 1,390-1,400 จุด


น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยวันนี้ (24 พ.ย.) ปรับตัวลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวลงตามตลาดในยุโรปที่เทรดในช่วงบ่ายนี้ติดลบไปมาก เนื่องจากยุโรปก็มีภัยก่อการ้าย และเศรษฐกิจก็ยังไม่แข็งแกร่งมาก จนประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ออกมาระบุว่าอาจจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ถ้าจำเป็น ซึ่งทางยุโรปก็มีเป้าหมายเงินเฟ้อในระยะยาวที่ 2% แต่ปัจจุบันเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.1% ซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายอยู่มาก

ช่วงนี้ตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะผันผวนได้ โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เนื่องจากโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.นี้ยังมี และทุกครั้งที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าค่า และเป็นผลลบต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะ Emerging Market และตลาดในเอเชียที่จะกังวลต่อทิศทางราคาน้ำมัน และทองคำ

นอกจากนี้ เศรษฐกิจของจีนยังอ่อนแอ แม้แต่ญี่ปุ่นเศรษฐกิจถดถอยในทางเทคนิค ดูจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2-3 ของญี่ปุ่นติดลบถึงสองไตรมาส แต่ตลาดอาจมีปัจจัยหนุนบ้างจากทางยุโรปที่อาจจะมีการขยายมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รวมถึงจีนก็อาจจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนตลาดหุ้นไทยในช่วงธ.ค.ก็จะได้แรงหนุนจากกองทุน LTF, RMF เข้ามา

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (25 พ.ย.) ตลาดมีโอกาสอ่อนตัวลงได้ พร้อมให้ติดตามความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ, ราคาน้ำมัน และตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศชั้นนำอย่าง สหรัฐฯ, จีน, ยุโรป และญี่ปุ่น โดยให้แนวรับ 1,375-1,370 จุด ส่วนแนวต้าน 1,390-1,400 จุด

 

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก

TRUE ปิดที่ 8.70 บาท ลดลง 0.40 บาท

JAS ปิดที่ 5.10 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

KBANK ปิดที่ 169.00 บาท ลดลง 1.00 บาท

ADVANC ปิดที่ 208.00 บาท ลดลง 4.00 บาท

TASCO ปิดที่ 38.75 บาท ลดลง 1.25 บาท

 

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Back to top button