พาราสาวะถี
เป็นใครจะไม่โกรธกับฉายาที่ได้ ผู้นำเผด็จการทักทายสื่อที่เจอหน้ากันวันเริ่มต้นทำงานประจำสัปดาห์ด้วยการประชดประชัน "ขอบคุณฉายาสื่อ ขอบคุณมาก"
เป็นใครจะไม่โกรธกับฉายาที่ได้รับ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจทักทายสื่อมวลชนที่เจอหน้ากันวันเริ่มต้นทำงานประจำสัปดาห์ด้วยการประชดประชัน “ขอบคุณฉายาสื่อ ขอบคุณมาก” เก็บอาการกันไม่อยู่ทีเดียวหลังจากที่นักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายาให้รัฐบาลภายใต้การนำของตัวเองว่า “หน้ากากคนดี” และฉายาส่วนตัว “แปดเปื้อน” นอกจากแสดงอาการแล้วยังระบายอารมณ์กับการตอบคำถามที่ว่านี่เป็นประเพณีของสื่อทำเนียบฯ ว่า “ประเพณีบ้า ๆ บอ ๆ อย่างนี้ไม่มี”
บอกแล้วว่าประสาผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ วิพากษ์วิจารณ์หรือกล่าวหาคนอื่นได้ แต่ใครอย่าได้มาสะเออะแนะนำหรือวิจารณ์ตัวเองเด็ดขาด เหมือนกรณีโจมตีนักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวนับตั้งแต่ยึดอำนาจ แต่สุดท้ายก็สังวาสกับนักการเมืองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อเป้าหมายการสืบทอดอำนาจของตัวเอง ขณะเดียวกัน เรื่องฉายาของนักข่าวทำเนียบฯ ที่ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจฉุนหนักนั้น เพราะมันจะส่งผลต่อการทำงานการเมืองที่เพิ่งประกาศจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติหมาด ๆ
ยิ่งย้อนกลับไปตั้งแต่นักข่าวทำเนียบฯ เริ่มตั้งฉายาให้รัฐบาลและตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ หลังจากที่ยุคเผด็จการ คสช.และปีแรกของรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2562 สื่อทำเนียบฯ ว่างเว้นการตั้งฉายากันมาหลายปี กระทั่งมาเริ่มตั้งฉายากันในปี 2563 ก็จะเห็นความถดถอยของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเด่นชัด จาก “ตู่ไม่รู้ล้ม” เป็น “ชำรุดยุทธ์โทรม” กระทั่งมาถึงแปดเปื้อน มันเป็นเหมือนการฉายภาพความล้มเหลวในการทำงานได้เป็นอย่างดี
ยิ่งฉายารัฐบาลหน้ากากคนดีนั้น ก็เหมือนที่อรชุนย้ำมาตลอดคนดีอุปโลกน์ของพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งนั้น ท้ายที่สุดผลงานมันจะเป็นตัวบ่งบอกว่าคนเหล่านั้นของจริงหรือไม่ เหมือนคำอธิบายของนักข่าวทำเนียบฯ ที่ว่า ภายใต้หน้ากากของรัฐบาลที่สร้างภาพจำตลอดเวลาว่าเป็นคนดี นโยบายทุกอย่างทำเพื่อบ้านเมืองและประชาชน แต่กลับเกิดข้อกังขาว่ายังเดินตามเจตนารมณ์ที่ประกาศไว้ได้หรือไม่ เช่น นโยบายกัญชา
จากการที่อวดอ้างทำเพื่อประชาชน แต่เมื่อเกิดผลกระทบจากการใช้ผิดวัตถุประสงค์ กลายเป็นปัญหาสังคมบานปลาย แม้แต่การออกกฎหมายควบคุมการใช้ยังทำไม่ได้ สุดท้ายผลักภาระเพิ่มให้ตำรวจ เพียงเพราะต้องการเช็กลิสต์ตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ความจริงกรณีนี้ก็ไม่ต่างจากเรื่องแก้รัฐธรรมนูญที่ต้องทำเพราะตกปากรับคำกับพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญไว้ และประกาศเป็นนโยบายเร่งด่วนด้วย จนต้องพลิกเกมกันหลายตลบกว่าจะจบที่แก้เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ
สุดท้ายยังตามมาเล่นเกมในกฎหมายลูก ด้วยการพลิกลิ้นกลับไปมาว่าด้วยสูตรหาร 100 หรือ 500 ในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จนต้องไปลุ้นกันวินาทีสุดท้ายด้วยการให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ภาพเช่นนี้มันจึงไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจ จริงใจของฝ่ายที่อ้างว่าเป็นคนดี เหมือนอย่างที่นักข่าวทำเนียบฯ ระบุต่อประเด็นการประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญว่ามีความคลุมเครือ ประโยชน์ที่ได้นั้นเป็นของประชาชนหรือนักการเมืองกันแน่
มิหนำซ้ำ นโยบายที่อ้างว่าเป็นประชารัฐไม่ใช่ประชานิยม เพื่อเลี่ยงความเหมือนหรือลอกการบ้านของผู้ที่เคยทำสำเร็จอย่าง ทักษิณ ชินวัตร มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยขยายภาพของบรรดาคนดีทั้งหลายได้ว่า ความคิดกับการกระทำนั้นสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง นโยบายประชานิยมที่ออกแนวหาเสียง ให้ทั้งเบ็ด ทั้งปลา แต่ทำไปทำมาก็คือตะบี้ตะบันแจกเพื่อหวังคะแนนนิยม ไม่ได้สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนให้กับประชาชนเหมือนอย่างที่คุยโม้โอ้อวดแต่ประการใด
แน่นอนว่า กรณีของกัญชาเสรีประสาคนที่ปัดสวะพ้นตัว ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอาจอ้างว่านี่ไม่ใช่นโยบายของรัฐบาล แต่เป็นเรื่องของพรรคร่วมอย่างภูมิใจไทยที่เดินเครื่องเรื่องนี้อย่างเต็มสูบ ก็ต้องถามย้อนกลับไปในฐานะผู้มีอำนาจเต็ม ถ้าไม่ห่วงเรื่องเสถียรภาพของตัวเองควรต้องกระตุกเตือนหรือยับยั้งไว้ก่อนเพื่อให้ทุกอย่างรอบคอบ อย่างที่นักข่าวทำเนียบฯ บอกนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของพรรคการเมืองใด เมื่อออกมาในนามรัฐบาล ประชาชนจึงเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า ภายใต้หน้ากากที่ประกาศเป็นคนดีนั้น จริงหรือไม่?
นอกจากนี้ การที่ผู้นำเผด็จการอาละวาดกับการตั้งฉายาของสื่อครั้งนี้ คงเป็นเพราะรัฐมนตรีที่ได้รับฉายานั้น แต่ละคนล้วนแต่เป็นสายตรงของตัวเองทั้งนั้น เหมือนเป็นการจงใจเตะตัดขาให้หน้าคะมำก่อนจะไปเล่นการเมืองเต็มตัวในนามรวมไทยสร้างชาติ รายของ วิษณุ เครืองาม นั้นตัดทิ้งได้เรื่องฟอกขาวโดยอาศัยชั้นเชิงเนติบริกรเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้ว ที่ทำให้ไม่พอใจไล่ตั้งแต่พี่รองอย่าง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา กับฉายา “หน้าชัดหลังเบลอ”
เมื่อย้อนกลับไปดูคะแนนโหวตไว้วางใจกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจหนล่าสุดเห็นคำตอบของสิ่งนี้ชัดเจน ในขณะที่สองรองนายกฯ และรัฐมนตรีคนโปรดอย่าง ดอน ปรมัตถ์วินัย และ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ที่ได้รับฉายา “ลุ่ม ๆ ดอน ๆ” กับ “Powerblank” ก็แทบจะไม่ต้องไปดูคำอธิบายของสื่อที่ตั้งฉายาให้แต่อย่างใด คนทั่วไปก็เข้าใจได้ตามนั้น ถือเป็นการตอกย้ำความผิดพลาด และประสิทธิภาพในการบริหารงานบุคคลของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นอย่างดี เอาพรรคเอาพวกแต่ไม่เอาอ่าวเอาประเทศแต่อย่างใด
ส่วนรัฐมนตรีอีกสองราย สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีแรงงานกับฉายา “รมต.แรงลิ้น” และ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กับฉายา “วันทอง 2 ป.” ก็ยิ่งทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจชีช้ำหนักเข้าไปอีก โดยเฉพาะรายแรกที่เป็นลูกคนโปรดยืนยันกับตัวท่านผู้นำที่นับถือประดุจแม่จะดูด ส.ส.จากพรรคสืบทอดอำนาจมาอยู่บ้านใหม่ได้พะเรอเกวียน แต่จนถึงนาทีนี้แค่หยิบมือยังถือว่ามากไป เรียกได้ว่าถนนสายการเมืองที่จะต้องเดินเดียวดายโดยไร้พี่ใหญ่ถือหางมีแต่ขวากหนามทำให้กุมขมับ พอมาเจอฉายาจากนักข่าวทำเนียบฯ แบบนี้ จึงไม่แปลกที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะปรี๊ดแตก