พาราสาวะถี

อีก 2 วันปี 2565 ก็จะจบสิ้นเข้าสู่ปี 2566 ช่วงท้ายปลายปีความวุ่นวายไม่ใช่เรื่องของผู้คนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยว หากแต่เป็นการเมือง


เหลือเวลาอีก 2 วันปี 2565 ก็จะจบสิ้นเข้าสู่ปี 2566 หรือปีเถาะ ช่วงท้ายปลายปีความวุ่นวายไม่ใช่เรื่องของผู้คนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยว หากแต่เป็นการเมืองและเรื่องวุ่น ๆ ที่ยังจะตามกันไปจนถึงปีหน้าหรือจนกว่าการเลือกตั้งจะจบสิ้นภายในกลางปี คนที่หงุดหงิดหัวใจเป็นที่สุดคงหนีไม่พ้นผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ หลังประกาศเล่นการเมืองเต็มตัว เตรียมสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติและเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งเดียวของพรรค

จากที่บรรดาลิ่วล้อสอพลอพากันยกหาง เมื่อประกาศความชัดเจนแล้วเชื่อว่าคะแนนนิยมจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่มาถึงนาทีนี้ดูท่าจะตรงกันข้าม ไม่เพียงแต่ยังหาความแน่นอนไม่ได้ จะไปสมัครสมาชิกกันวันไหน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติก็บอกว่า น่าจะเป็นหลังปีใหม่ ซึ่งสมควรจะเชื่อ เพราะอีกหัวโขนหนึ่งคือเลขาธิการนายกฯ สิ่งที่คนจับตามองกันหลังผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจประกาศแสดงตัวแล้ว จะมีพวกที่ภักดีและสวามิภักดิ์ตั้งแต่คราวเป็นหัวหน้า คสช.ตามไปอยู่ด้วยกี่คน

ที่แน่ ๆ พี่รองของแก๊ง 3 ป. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา แสดงตัวมาแล้วว่าไม่ขอเดินบนถนนสายการเมืองอีก โดยอ้างเหตุผลว่าแก่แล้ว ความจริงต้องเห็นใจในฐานะคนกลางที่แม้จะค่อนไปในทางให้ท้ายน้องเล็ก และเป็นตัวตั้งตัวตีก่อนหน้านั้นว่าจะตั้งพรรคใหม่จนทำให้พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ไม่พอใจ แต่ด้วยกระแสของสังคมที่เปลี่ยนไป บิ๊กป๊อกย่อมเข้าใจดีว่าการเดินหน้าต่อไปน่าจะเจ็บตัวมากกว่าสบายใจ การเลือกที่จะถอยออกมา กลับบ้านไปเลี้ยงหลานจึงเป็นหนทางที่สง่างามที่สุด

อย่างไรก็ตาม บทสัมภาษณ์ของพี่รองแก๊ง 3 ป.นั้น มีประเด็นชวนให้ขีดเส้นใต้อยู่ไม่น้อย แบบนี้แล้วมันจะไปบั่นทอนกำลังใจน้องเล็กหรือไม่ กับการที่พูดว่า “ผมไม่ไปอยู่แล้วการเมือง อนาคตนายกฯ เป็นคนไหนก็ไม่ทราบ เราก็ไม่รู้” เอ้า! ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจประกาศอยู่โต้ง ๆ จะขอกลับมาเป็นนายกฯ อีก 2 ปีแล้วพี่รองมาพูดแบบนี้จะทำให้บรรดากองเชียร์รู้สึกอย่างไร เมื่อไม่ใช่เกมลับ ลวง พราง การมองโลกจากความเป็นจริงย่อมนำมาซึ่งบทสรุปด้วยการวางมือของพี่รองนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว

การเมืองในระบบที่ไม่อาศัยตัวช่วยจากกลไกที่วางไว้ของขบวนการสืบทอดอำนาจ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครก็จะกระโดดลงมาลุยได้ พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงเกิดการดูแลกันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งในส่วนของ ส.ส.และ ส.ว. เพราะถ้าคิดจะเล่นการเมืองระยะยาวใจจะต้องได้ ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ ไม่ใช่อาศัยพระเดชแล้วยังทวงบุญคุณกันไม่เลิกเหมือนที่น้องเล็กทำ นอกจากไม่สามารถขยายมวลหมู่มิตรเพิ่มแล้ว ยังเป็นการเพาะศัตรูไปในตัวด้วย

เมื่ออ่านจากการขับเคลื่อนของแต่ละพรรคการเมืองก็พอจะมองเห็นแล้วว่า การเลือกตั้งครั้งหน้านั้นความต้องการของประชาชนเป็นอย่างไร เพื่อไทยที่ประกาศแลนด์สไลด์เข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมานั้น คนไทยเสียโอกาสอะไรไปบ้าง แม้จะถูกโจมตีรอบด้านกับการประกาศนโยบายค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือน พรรคนายใหญ่ก็ยังเลือกที่จะชูเรื่องนี้ติดป้ายหาเสียงไปทั้งประเทศซื้อใจคนเดินทางช่วงปีใหม่ย่อมบ่งบอกอะไรได้เป็นอย่างดี

นักการตลาดชั้นยอดอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ย่อมอ่านขาด การถูกหลอกทางการเมืองมาหลายหน ไม่ได้ทำให้คนแดนไกลรู้สึกเบื่อหน่าย ทดท้อ ภายในใจอาจมีแรงแค้นที่รอสะสาง หรือบางทีอาจจะปล่อยวางเพื่อที่จะรอเวลาให้เครือข่ายที่สั่งการได้ มาโชว์ฝีไม้ลายมือเป็นการสั่งสอนพวกที่อุปโลกน์ระบอบหลอกให้คนไทยกลัว จนได้คนดีในซีกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งมาบริหาร ซึ่งมันได้ผ่านการพิสูจน์มากว่า 8 ปีแล้วว่าไม่เวิร์ค

มิหนำซ้ำ การสร้างภาพบอกกับคนทั้งประเทศว่าตัวเองดี คณะที่ร่วมบริหารมานั้นล้วนแต่เป็นสุดยอดคนดี ฉายาจากนักข่าวทำเนียบรัฐบาลล่าสุด หน้ากากคนดีเป็นตัวชี้ชัดว่า ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เรียกได้ว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นการชูตัวตนของใครคนใดคนหนึ่งเพื่อมาเป็นจุดขาย จะทำได้ในวงจำกัด หาคะแนนเสียงได้แค่พวกหลับหูหลับตาเชียร์เท่านั้น การชูเรื่องค่าจ้างของเพื่อไทยจึงเป็นการท้าทายให้แต่ละพรรคคิดนโยบายมาแข่งกัน ใครจะโดนใจ ประชาชนจะไว้วางใจใครมากกว่ากัน

เหมือนอย่างที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นำภูมิใจไทยเดินหน้าโดยสโลแกน “พูดแล้วทำ” แม้จะถูกบั่นทอนด้วยฉายาล่าสุดพูดติดดอย อย่างน้อยก็ได้แสดงให้เห็นว่าประชานิยมที่พรรคของเสี่ยหนูจะพยายามทำให้ได้นั้นมีอะไรบ้าง แล้วประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร เช่น กัญชาเสรี แต่มีสิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่คงอดที่จะดักคอไม่ได้กับเรื่องที่เจ้าตัวอ้างว่าบรรดา ส.ส.ที่ลาออกมาซบพรรคนั้นเป็นเพราะดูที่นโยบายไม่ใช่เรื่องความพร้อมของกระสุน

ไม่มีนักการเมืองหน้าไหนที่ย้ายพรรคด้วยเรื่องนี้ ยิ่งหันไปมองพวกที่มาจากซีกฝ่ายค้าน ทั้งเพื่อไทย และก้าวไกล หากเลือกอุดมการณ์ ยึดมั่นในนโยบายเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงแล้ว สองพรรคดังว่าก็ไม่น่าจะน้อยหน้าภูมิใจไทย มิหนำซ้ำ หลายนโยบายยังมีโอกาสที่จะทำได้และดีกว่าเสียด้วยซ้ำ ไม่แปลกที่ต้องพูดเพื่อรักษาภาพความใสสะอาดของตัวเองและพรรคไว้ แต่การแจกกล้วยเลี้ยงงูเห่า ชนิดที่บางรายเปลี่ยนชีวิตตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังเท้านั้น มันปิดกันไม่ได้ ไปถามคนในพื้นที่จะรู้ดี

การเมืองหลังปีใหม่ที่มองกันว่าจะแข่งขันกันดุเดือดนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล เพราะดูจากสถานการณ์ ณ เวลานี้ ฝ่ายค้านไม่ว่าพรรคไหนต่างหาเสียงกันได้สบายใจเฉิบ โชว์นโยบาย ขายฝันกันได้เต็มที่ กลายเป็นซีกรัฐบาลต่างหากที่จะห้ำหั่นกันอย่างถึงพริกถึงขิง ปมขัดกันในที่ประชุม ครม.เมื่อวันอังคารของ 3 ป.และประชาธิปัตย์ร่วมวงไพบูลย์ด้วยกรณีแต่งตั้งอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ไม่ใช่เรื่องโควตาของพรรคหรืออำนาจเป็นของรัฐมนตรีคนไหน

แต่เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าทำนองว่าการส่งเสริมให้คนไม่ดีมีอำนาจในบ้านเมืองมันจะนำความเสียหายวิบัติมาสู่รัฐบาล ว่ากันว่าที่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ยกปมโควตาของพรรคมาอ้างนั้น แค่การออกหมัดแย็บดูเชิงคู่ต่อสู้ และก็ได้เห็นแล้วว่าแต่ละคนออกลีลากันอย่างไร ยังไม่ถึงเวลาปล่อยหมัดเด็ด นี่เพียงน้ำจิ้มของการเตะตัดขากันในรัฐบาลเรือเหล็ก ปลายสมัยอย่างนี้จำคำที่ วิษณุ เครืองาม พูดไว้ให้ดี สนิมเกิดแต่เนื้อในตน

Back to top button