พาราสาวะถี
หลังปีใหม่เมื่อกลับเข้าสู่การทำงาน สิ่งที่ผู้นำเผด็จการจะหลีกหนีไม่พ้นคือ การถูกจี้ถามต่อความชัดเจนในการไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
อุตส่าห์ใช้ฤกษ์ดีวันขึ้นปีใหม่เข้าเฝ้าถวายเครื่องสักการะสมเด็จพระสังฆราชฯ แต่กับสิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตอบคำถามนักข่าวก็ยังสะท้อนภาพของความไม่สบายใจ เต็มไปด้วยความเครียด ความวิตกกังวล ทั้งที่ได้รับประทานพรเตือนสติให้ใจเย็น ลดหงุดหงิด คำตอบจากปากท่านผู้นำที่บอกกับนักข่าวก็คือ “พยายามอยู่” ต้องบอกว่าเป็นความพยายามที่ยาวนานเหลือเกินกว่า 8 ปีแล้วของคนที่อ้างอยู่เสมอว่ามีธรรมะอยู่ในหัวใจ แต่แค่ควบคุมอารมณ์โกรธยังทำไม่ได้
เชื่อแน่ว่าสิ่งที่บอกว่าพยายามทำอยู่นั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะทันทีทันใดที่นักข่าวถามต่อว่า เป้าหมายทางการเมืองในปี 2566 ตั้งเป้าไว้อย่างไร ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ตอบว่า ก็ทำมาอยู่แล้ว ไม่ต้องตั้งเป้าอะไร เพราะเป้าหมายคือประชาชน เป้าหมายที่ทำก็เพื่อประชาชนทั้งหมด พอถูกถามย้ำว่าเป้าหมายในปีนี้สูงหรือไม่ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ตอบคำถามดังกล่าว แต่แสดงอารมณ์หงุดหงิดทางสีหน้าเล็กน้อย ซึ่งนักข่าวก็ไม่ลดละความพยายาม
ถามต่อว่าปีนี้เป็นห่วงอะไรเป็นพิเศษบ้าง ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์หงุดหงิดทันทีว่า “แล้วเธอเป็นห่วงอะไรไหมล่ะ เป็นห่วงไหมที่ถามฉันแบบนี้ ถ้าเธอห่วงก็จะได้ช่วยแก้ ถ้าเธอไม่ห่วงก็ไม่ต้องช่วยฉัน” อาการแบบนี้มันเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะความเครียดที่รุมเร้า ไม่ใช่แค่ประเด็นการเดินบนถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัวในนามรวมไทยสร้างชาติ ที่แม้จะประกาศความชัดเจนไปแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถเรียกแขกพวกหิวกล้วยทั้งหลายให้ตามมาสมทบได้
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีปมเรื่องอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ถูกจับกุมพร้อมข้อหาเรียกรับเงินจากลูกน้อง แน่นอนว่า ลำพังแค่อธิบดีคนเดียวคงไม่แสดงความกล้าขนาดนั้น นั่นไม่ใช่หน้าที่ของ ป.ป.ช.หรือกองบังคับการ ปปป.ที่จะต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างและดำเนินคดีถึงที่สุด แต่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่รังเกียจและประกาศจัดการพวกขี้ฉ้ออย่างเด็ดขาด จะต้องดำเนินการกระชากหน้ากากของพวกกังฉินคณะนี้มาประจานให้สังคมได้รู้เช่นเห็นชาติให้ได้
อย่าได้อ้างแค่ว่าเป็นไปตามสายการบังคับบัญชา เท่ากับปัดสวะโยนภาระให้เป็นเรื่องของรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงนี้ ยิ่งการมีเม็ดเงินเข้ามาเกี่ยวข้องมหาศาลเช่นนี้ ไม่ควรที่จะมีเพียงคณะกรรมการตรวจสอบระดับกระทรวงเพียงอย่างเดียว ในฐานะผู้นำที่ยึดหลักธรรมาภิบาล ทำทุกอย่างให้โปร่งใส ต้องตั้งคณะกรรมการชุดใหญ่มาสะสางเพื่อให้สังคมสิ้นสงสัยว่า การรีดไถลูกน้อง ทำลายระบบราชการเช่นนี้มีแค่อธิบดีเห็นแก่ได้เพียงคนเดียว หรือมีใครบงการ สั่งการอยู่เบื้องหลังหรือไม่
ขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมว่าการลุยเปิดโปงมาเฟียสีเทาจากจีนของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ที่วันนี้ประกาศลั่นถ้าไม่ย้ายนายตำรวจบางคนตามที่เรียกร้องจะแฉต่อไปจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง ตรงนี้ไม่ต้องบอกว่าอดีตเจ้าพ่ออ่างคนดัง ต้องการสื่อสารไปถึงใคร อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ผลจากการปฏิบัติการกวาดล้างมาเฟียจีนสีเทานั้น ทั้งการเข้าตรวจค้น จับกุม มีพฤติกรรมพฤติการณ์ที่น่าสงสัยหลายประการตามที่ชูวิทย์ได้อธิบายเป็นฉาก ๆ จนสังคมเห็นภาพกันหมดแล้ว
แน่นอนว่า เอาแค่ประเด็นพวกสีเทาใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีได้สัญชาติไทย ขณะที่คนที่เกิดและโตในประเทศไทยใช้เวลากว่าครึ่งค่อนชีวิตยังไม่ได้รับสิทธิ์ที่ควรจะได้ หรือแม้แต่กรณีของคนที่ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติกว่าจะได้รับก็เลือดตาแทบกระเด็น แค่ประเด็นนี้ประเด็นเดียวมันก็จุดประกายให้คนส่วนใหญ่เคลือบแคลงต่อการทำงานของข้าราชการและผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งสองเรื่องนี้ถ้าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเล่นบทโยนภาระให้แต่ฝ่ายปฏิบัติ ช่วงเลือกตั้งจะเป็นจุดอ่อนทำให้ถูกตีและฉุดคะแนนเสียงที่ยังไม่กระเตื้องของพรรคที่จะไปสังกัดอย่างช่วยไม่ได้
ความหงุดหงิดที่สำคัญสำหรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ คงเป็นการเลือกเดินบนถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัว ด้วยความหวังที่ว่าจะมีพี่รองของแก๊ง 3 ป.มาร่วมเรียงเคียงบ่าไปด้วยกัน แต่กลับกลายเป็นว่าพี่รองดันมาประกาศเป็นพันธสัญญากับสังคมไปแล้วว่า ไม่ไปต่อทางการเมืองแน่ด้วยเหตุผลว่าแก่แล้ว แบบนี้มันเหมือนการถูกพามาทิ้งไว้กลางทาง ทั้งที่ตลอดระยะเวลาที่มีข่าวคราวน้องเล็กจะตีจากพี่ใหญ่นั้นพี่รองถือเป็นกุนซือคนสำคัญ
อย่างที่บอกมาตลอด การเมืองเป็นเรื่องของกระแส และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แม้พี่รองจะไม่ใช่นักการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์แบบพี่ใหญ่ แต่ก็เข้าใจดีว่าอะไรเป็นอะไร หนทางข้างหน้าไม่ได้ง่ายเหมือนคราวเลือกตั้งปี 2562 จนถึงตอนนี้พรรครวมไทยสร้างชาติของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เมื่อชี้นิ้วไปยังบุคคลที่จะมาร่วมเดินทางด้วย อาจจะมีประสบการณ์ทางการเมืองสูง ไม่ว่าจะ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หรือ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี แต่คนเหล่านี้ไม่ใช่นักการเมืองที่ขายได้ในภาพใหญ่
ปัจจัยชี้วัดสำคัญสำหรับการเลือกตั้งหนหน้าคือ ต้องมี ส.ส.เขตมาร่วมทัพให้มาก เพราะ ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ได้มีแบบปัดเศษเพื่อให้ได้ ส.ส.เอื้ออาทรอีกแล้ว เมื่อเวลานี้มองไปยังพรรคใหม่ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังปราศจาก ส.ส.ที่สามารถการันตีเก้าอี้ได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ย่อมเป็นโจทย์ใหญ่ กลายเป็นปัญหาหนักอก การได้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งเดียวของพรรคจะไร้ความหมายไปทันทีถ้าพรรคการเมืองนั้นมี ส.ส.ไม่ถึง 25 คน
หลังปีใหม่เมื่อกลับเข้าสู่การทำงานกันเต็มตัว สิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะหลีกหนีไม่พ้นคือ การถูกจี้ถามต่อความชัดเจนในการไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ หากไม่สามารถระดม ส.ส.ที่จะมาเป็นแบ็คอัพอันยิ่งใหญ่ให้ได้ เมื่อเทียบกับพวกที่ใจถึงลาออกไปร่วมงานกับภูมิใจไทย ก็ไม่อยากจะนึกภาพว่า วันที่ท่านผู้นำเดินทางไปพรรคของตัวเองมันจะวังเวงขนาดไหน ต่อให้มั่นใจในกลเกมทางกฎหมายที่จะงัดออกมาใช้เพื่อให้ตัวเองอยู่ยาวได้ ถ้าสถานการณ์ยังดำเนินไปในลักษณะนี้ ที่ป่าวประกาศตลอดว่า “ผมไม่เคยถอดใจอยู่แล้ว” อาจจะกลายเป็น “ผมพอแล้ว” ก็ได้