AU บวกแรง 5% นิวไฮรอบกว่า 1 ปี โบรกเชียร์ซื้อเป้า 12.80 บ. ชูหุ้นเด่นปี 66
AU บวกแรง 5% นิวไฮรอบกว่า 1 ปี โบรกเชียร์ซื้อเป้า 12.80 บาท ชูหุ้นเด่นปี 66 รับอานิสงส์เศรษฐกิจในประเทศฟื้น-ท่องเที่ยว-บริโภคหนุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(3 ม.ค.66) ราคาหุ้นบริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ณ เวลา 12 :03 น. อยู่ที่ระดับ 12.00 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 5.26% สูงสุดที่ระดับ 12.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 11.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 123.57 ล้านบาท ราคาหุ้นปรับตัวแรงในรอบ 1 ปี 9 เดือน
โดยก่อนหน้านนี้ นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินกรอบดัชนี (SET Index) ปี 2566 ไว้ที่ 1,570-1,815 จุด ขณะที่คาดการณ์ EPS ไว้ที่ 110.5 บาท/หุ้น โดยมองว่าหุ้นไทยในช่วงปี 2566 ยังดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ที่จะได้ปัจจัยหนุนจากการท่องเที่ยวในประเทศฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าว จะช่วยหนุนให้ภาคการบริโภคในประเทศฟื้นตัวตามด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ทิศทางเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง ขณะที่ช่วงกลางปี (ประมาณเดือน พ.ค.66) คาดการณ์ว่า จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นของฟันด์โฟลว์มากขึ้น จากความคาดหวังการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ ๆ
ทั้งนี้ ได้ทำการรวบรวมสถิติการเลือกตั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 44-62) พบว่า จะมีแรงเก็งกำไรในหุ้นไทยล่วงหน้าเสมอ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 3.4% ดังนั้น เมื่อคาดการณ์ว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ค. 66 จึงคาดจะมีแรงเก็งกำไรหนุนดัชนี ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.เป็นต้นไป
สำหรับหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ราคาเหมาะสม 82.2 บาท อัพไซด์ที่ 23.61%, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ราคาเหมาะสม 67.11 บาท อัพไซด์ที่ 19.31%, บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ราคาเหมาะสม 11.93 บาท อัพไซด์ที่ 16.96%, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ราคาเหมาะสม 79 บาท อัพไซด์ที่ 16.61% และบริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ราคาเหมาะสม 12.8 บาท อัพไซด์ที่ 12.28%
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า AU แนะนำซื้อเป้าหมาย 12.50 บาท แนวโน้มไตรมาส 4/65 คาดฟื้นตัวต่อเนื่อง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อนหน้าจาก high season, จำนวนนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายสาขาที่จะเร่งตัวขึ้น
โดยคงประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ที่ 123 ล้านบาท โต 2,679% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และปี 66 ที่ 191 ล้านบาท โต 55% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่มองผลกระทบด้านค่าไฟฟ้าและค่าแรงจำกัด เพราะมีโอกาสถูกชดเชยจากการปรับราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงจากแนวโน้มกำไรสุทธิรายไตรมาสที่คาดฟื้นตัวต่อเนื่อง