IAA มอง GDP ปี 66 โต 3.6% ชู 5 หุ้นเด่น รับท่องเที่ยวฟื้น-ดอกเบี้ยขาขึ้น
IAA คาดการณ์ GDP ปี 66 โต 3.60% รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจภายในประเทศ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปี 66 รวมถึงฟันด์โฟลว์ไหลเข้า ชู AOT-ADVANC-BBL-COM7-CPALL เป็นหุ้นเด่น ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของท่องเที่ยว รวมถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ย
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนปี 2566 สรุปได้ดังนี้
สมมติฐานหลัก มีการปรับลดราคาน้ำมันดิบของปีนี้ จาก 98.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาเป็น 87.22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลและคาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทย ปี 66 ที่ 3.60%
โดยทิศทางการลงทุนในปี 2566 นี้ จะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ เศรษฐกิจภายในประเทศ โดยมีผู้โหวตถึง 96.15% และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปี 66 มีผู้โหวต 80.77% ตามมาด้วยฟันด์โฟลว์จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย มีผู้โหวต 76.92% และปัจจัยการเมืองในประเทศ มีผู้โหวต 73.08%
ส่วนปัจจัยด้านลบ มาจาก ปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก มีผู้โหวตมากถึง 88.46% รองลงมาคือ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้โหวต 62.96% และ ตามติดมาด้วย ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้โหวต 53.85%
ปัจจัยที่ควรจับตามองที่มีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดในไตรมาสแรก ผู้ตอบส่วนใหญ่มองว่าการกลับมาเปิดประเทศของจีน และการเลือกตั้งภายในประเทศ
ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในปี 2566 นักวิเคราะห์ทุกสำนักคาดว่ามีการปรับขึ้น โดย 46.15% คาดว่าจะปรับขึ้น 0.50% รองลงมามี 42.31% มองว่าปรับขึ้น 0.75% ส่วนที่เหลือมีผู้ตอบ 7.69% ที่มองว่าจะปรับขึ้น 0.25% และมี 3.85% ที่มองว่าปรับขึ้น 1% หรือมากกว่า ตามลำดับ
ส่วนทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2566 ของตลาดเฉลี่ยที่ 105.34 บาท เพิ่มขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 100.36 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth ของปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 7.06
ทางด้าน คาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 ถูกคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 โดยจะปิด สิ้นไตรมาส 1/2566 ที่ 1694 จุด และเมื่อมองตลอดปีจะแกว่งตัวในกรอบ 1554 จุด ถึง 1773 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2566 จะปิดที่ 1741 จุด
โดยนักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 12% และกองทุนตราสารหนี้ 20.12% รวมถึงหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 28.52% อีกทั้งหุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 23.60%
นอกจากนี้ยังมีกองทุนอสังหาฯ หรือ REIT 7.52% ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.92% อื่นๆ เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน น้ำมัน 0.32%
โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศและกองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นจีน และเวียดนาม จากการเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาปกติอีกครั้ง
สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจค้าปลีก, ธนาคาร, การท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป มีดังนี้
1 ADVANC เป็นหุ้น Defensive ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอราว 4% ต่อปี และประมาณการณ์กำไรมี Upside จากการต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจการเงิน คือ Virtual Bank
2 AOT มองว่าผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรหลังการท่องเที่ยวฟื้นตัว
3 BBL โดยมองว่าได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และเป็นธนาคารที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ภาคธุรกิจ
4 COM7 ปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยที่สูงขึ้น 2) การครอบครองมือถือ 5G ที่สูงขึ้น และ 3) เดินหน้าขยายสาขา 150 แห่งตามแผนต่อเนื่อง โดยปี 2565 ขยายไปแล้ว 113 สาขา
5 CPALL ปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคฟื้นตัวต่อรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หนุนการขยายตัวของ Same Store Sales Growth (SSSG) ยอดขายสาขาเดิม
โดยท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังพรรคการเมืองเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ คุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ถัดมา นโยบายที่เพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค ได้แก่ ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ชะลอการเก็บภาษีหุ้น อีกทั้งพัฒนาฝีมือแรงงานและระบบการศึกษาไทย ตามมาด้วย การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุน สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ขยายตลาดส่งออก