AOT-BAFS-DMT อนาคตสดใส รอวันรับ “ทัวร์จีน” กลับไทย
AOT-BAFS-DMT ดาวเด่น! อนาคตสดใส รอวันรับ “ทัวร์จีน” กลับไทย ฟากบล.โนมูระ พัฒนสิน คาดว่าหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวยังมีโมเมนตัมบวก AOT-AMATA-AAV-CRC-SCGP-SPA-CENTEL
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ประเทศไทย” คือจุดหมายปลายของนักท่องเที่ยวชาวจีน หลังทางการจีนได้เปิดประเทศเต็มรูปแบบแล้วตั้งแต่วันนี้ (8 มกราคาคม 2566) เป็นต้นไป หลังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ กพท. เปิดเผยว่า ขณะนี้มีสายการบินจากจีนขอเปิดเที่ยวบินโดยสารเข้ามายังประเทศไทยและได้รับอนุญาตในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-มีนาคม) มีจำนวนไม่เกิน 20 เที่ยวบินต่อวัน ใน 3 สนามบิน
โดยมีทั้งเที่ยวบินประจำและชาร์เตอร์ไฟลต์ ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินภูเก็ต และสนามบินเชียงใหม่ แต่ละเที่ยวจะมีผู้โดยสารเฉลี่ย 200 คนต่อเที่ยว รวม 20 เที่ยว อยู่ที่ประมาณ 4,000 คนต่อวัน จะเริ่มบินเพิ่มตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม นี้ ซึ่งสนามบินสุวรรณภูมิมีจำนวน 2 เที่ยวบิน สนามบินภูเก็ต 1 เที่ยวบิน และสนามบินเชียงใหม่ 1 เที่ยวบิน จากนั้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เดือนมกราคมสูงสุดอยู่ที่ 14 เที่ยวบินต่อวัน เดือนกุมภาพันธ์สูงสุด 16 เที่ยวบินต่อวัน จะมากสุดวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือวันวาเลนไทน์ และเดือนมีนาคมสูงสุดอยู่ที่ 14 เที่ยวบินต่อวัน
ทั้งนี้ จึงไม่อาจปฏิเสธว่าจำนวนเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ยิ่งส่งผลดีต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบิน โดยเฉพาะ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์บริหารทั้ง 3 สนามบินที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวชาวจีน ย่อมได้รับประโยชน์โดยตรง จากจำนวนผู้ใช้บริการสนามบินที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินของสายการบินจากจีนที่จะเพิ่มมากขึ้นในปีนี้
สอดคล้องกับ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ได้ออกมาวิเคราะห์ว่า งบการเงินของ AOT ในไตรมาสแรกงวดปี 66 จะพลิกกำไรได้ถึง 159 ล้านบาท หลังจากขาดทุนมาในช่วงเกิดวิกฤติโควิด-19 เพราะได้แรงหนุนจากจำนวนผู้โดยสารในประเทศและต่างประเทศที่ฟื้นตัวเป็น 82% และ 51% เทียบกับก่อนโควิด-19 ตามลำดับ ดังนั้นการเปิดประเทศของจีนจะเป็น Upside ให้โดยหากอิงปี 2562 นักท่องเที่ยวจีนคิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของรายได้ผู้โดยสารของ AOT คาดว่าจะหนุนให้กำไรสุทธิงวดปี 66-67 เร่งตัวอย่างมีนัยยะเป็น 1.3 หมื่นล้านบาท และ 3.3 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ สูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท
นอกจากนั้น บริษัท บริการเชื้อเพลิง การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก็ได้รับประโยชน์ไปด้วยจากการที่จีนมีแผนเปิดประเทศตั้งแต่ต้นปี 2566 กลายเป็นปัจจัยหนุนปริมาณการเติมน้ำมันให้เร่งตัวขึ้นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ยังต้องติดตามการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะการทำวีซ่า การทำพาสปอร์ตของจีนอย่างใกล้ชิด เบื้องต้นคาดว่าจะเห็นภาพชัดเจนหลังไตรมาส 1/2566 เป็นต้นไป โดย บล.ดาโอ คาดว่า BAFS จะพลิกทำกำไรสุทธิทั้งปี 2566 อยู่ที่ 323 ล้านบาท จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 35 บาท
ขณะเดียวกันจากการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลให้ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT เพราะเมื่อนักท่องเที่ยวจีนกลับมาปกติหรือเพิ่มขึ้น ยิ่งส่งผลให้เกิดการใช้งานทางด่วนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะดอนเมืองโทลเวย์ ซึ่งแหล่งข่าวในแวดวงคมนาคม คาดว่า DMT จะได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเดือนเมษายนตรงกับเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงการใช้เป็นเส้นทางเชื่อมจากจากสนามบินดอนเมือง ก่อนที่จะไปสนามบินสุวรรณภูมิ โดย DMT มีความพร้อมเต็มที่ ทำให้เป้าหมายที่จะมีความเติบโตในเรื่องรายได้ ถือว่ามีความสดใสพอคมควร
ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน คาดว่าหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวยังมีโมเมนตัมบวก โดยสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งห้างฯและแหล่งท่องเที่ยว มี Traffic สูงมาก นอกจากนี้ยังมีปริมาณผู้โดยสารทางอากาศเดือนธันวาคม รวม 4.3 ล้านคน บวกเพิ่ม 171% เทียบค่าเฉลี่ยมกราคม – พฤศจิกายน ที่ 1.6 ล้านคนต่อเดือน มาตรการควบคุมยังเป็นเชิงผ่อนคลายต่อนักท่องเที่ยวจีนที่จะเปิดประเทศ 8 มกราคม โดยยังไม่จำเป็นต้องตรวจโควิดก่อนเข้าไทย สำหรับหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ AOT, AMATA, AAV, CRC, SCGP, SPA และ CENTEL
อย่างไรก็ตาม จากประเด็นข้างต้นคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดตลอดในช่วงเดือนมกราคม และแนวโน้มหลังจากนี้ จะมีการปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่ของเที่ยวบินและคนจีนที่เดินทางเข้ามาเที่ยวไทย รวมถึงการเพิ่มจำนวนของสายการบินที่มาบริการนักท่องเที่ยว ว่าจะมีทิศทางสดใสมากเพียงใดต่อจากนี้ไป