พาราสาวะถี

การถือฤกษ์ราชาโชควันนี้ ของผู้นำเผด็จการ เพื่อเปิดตัวสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเป็นทางการที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์


การถือฤกษ์ราชาโชควันนี้ (9 มกราคม) ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เพื่อเปิดตัวสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเป็นทางการที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ไม่ได้แค่ถูกจับตามองว่าจะเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ มีบรรดา ส.ส.จากพรรคอื่นที่เตรียมจะย้ายคอกมาร่วมงานด้วยมาแสดงตัวกันกี่มากน้อย ยังถูกจับผิดว่า จะเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลมาตอนกี่โมง หรือวันนี้จะใช้สิทธิ์ในการลา เพื่อไม่ให้ถูกครหาใช้เวลาราชการมาเพื่องานส่วนตัว

แม้จะบอกว่ากิจกรรมเริ่มทำหลังเวลาราชการ แต่ สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.ก็จี้ให้ กกต.ช่วยจับตาแล้วว่า ออกจากที่ทำงานก่อน 16.30 น. เพื่อเดินทางไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคแบบเอิกเกริกหวังผลในทางหาเสียง เข้าข่ายผิดประกาศ กกต.เรื่องแนวทางปฏิบัติและข้อควรระวังในช่วง 180 วัน ข้อ 2.3 หรือไม่ ในความผิดเดียวกันคือ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อสนับสนุนในการหาเสียงของตน  เช่น  ใช้รถหลวง  น้ำมันหลวง  ตำรวจนำ การขอเปิดเส้นทางจราจรพิเศษ  การรักษาความปลอดภัยที่มากเกินความจำเป็นหรือไม่

มีการจ่ายค่าพาหนะ จัดเลี้ยงอาหาร เครื่องดื่มแก่ประชาชนผู้มาฟังการปราศรัย โดยบุคคลดังกล่าวไม่ใช่สมาชิกพรรค ไม่ใช่ผู้ช่วยหาเสียง ไม่ใช่เป็นการจัดประชุมสมาชิก  ถือเป็นการแจกเงิน ให้ทรัพย์สินอันอาจคำนวณเป็นเงินแก่ผู้มีสิทธิออกเสียงเพื่อลงคะแนนให้แก่ตนหรือพรรค ผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 (1) โดยสมชัยแนะให้ กกต.เข้าไปตรวจสอบตามวิธีการที่ควรจะเป็น อันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ผิดไปจากวิสัยปกติอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ก็เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม นั่นอาจถูกมองว่าเป็นเพียงกระพี้ เพราะการตั้งเป็นพรรคการเมือง และการจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อทำงานการเมืองแบบเต็มตัว คงไม่มีใครโง่ที่จะไม่ดูตาม้าตาเรือ หรือทำผิดกฎหมายให้ตัวเองซวยง่าย ๆ หรือแม้แต่มีการกระทำผิดคนก็ยังไม่เชื่อใจเสียด้วยซ้ำว่า กกต.ชุดนี้จะดำเนินการอะไรที่เป็นปกติเหมือนนักการเมืองทั่วไป และพรรคการเมืองทั่วไปหรือไม่ ปมการเลือกปฏิบัติ ทำตัวไร้บรรทัดฐาน ได้กลายเป็นตราประทับกับ กกต.ชุดนี้ไปแล้ว

ที่น่าสนใจมากกว่า การถือฤกษ์ยามสมัครเป็นสมาชิกหนนี้ ยังถูกลากโยงถึงกำหนดวันที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเตรียมจะยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ด้วย ก็จะยึดเอาฤกษ์ที่คิดว่าเป็นคุณกับตัวเอง ในอีกแง่ดีไม่ดีจากที่ฝ่ายค้านยื่นซักฟอกโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เอาไว้ บวกกับเรื่องที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รุกหนักเรื่องรถบัส 500 คันของมาเฟียจีนสีเทาเกี่ยวข้องกับหลานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเอง อาจจะเป็นตัวเร่งให้ยุบสภาเร็วกว่าที่คาด เพื่อเลี่ยงการถูกจับขึงพืดประจานก่อนเลือกตั้ง

แม้หลายฝ่ายหรือบรรดากองเชียร์และกุนซือบางส่วน เห็นว่าเป็นจังหวะดีเสียด้วยซ้ำที่จะให้มีการซักฟอกเพราะผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะได้เคลียร์ตัวเอง หากเป็นภาวะปกติอาจจะใช่ แต่ใกล้เลือกตั้งมันยาก เพราะจนถึงนาทีนี้แม้แต่พวกเดียวกันในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ก็ใช่ว่าจะเป็นมิตรกันเหมือนเดิม หากมีใครไปร่วมผสมโรงเพื่อหวังผลเลือกตั้งให้กับพรรคของตัวเอง มันจะกลายเป็นเวทีชำแหละ และลากไส้กันเองซึ่งไม่น่าจะเป็นคุณกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและพรรคของตัวเองแต่อย่างใด

กระนั้นก็ตาม การชิงยุบสภาก่อนฝ่ายค้านซักฟอกอาจจะหนีการถูกตีแผ่เรื่องทุจริต ความกังฉินของบริวารแวดล้อมได้ แต่ก็หนีไม่พ้นที่จะถูกนำไปตีต่อในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง แต่นั่นก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและรวมไทยสร้างชาติ เพราะหากข้อมูลไม่มีหลักฐานประเภทดิ้นไม่หลุด ฝ่ายที่หยิบยกไปโจมตีก็จะถูกเล่นงานเสียเอง เมื่อมองไปยังองคาพยพของขบวนการสืบทอดอำนาจโดยเฉพาะฝ่ายชี้เป็นชี้ตายเกี่ยวกับการเลือกตั้งก็พร้อมที่จะเชือดอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

ดูเหมือนว่าสถานการณ์ช่วงท้ายปลายสมัยไม่ได้เป็นใจให้กับคนอยากอยู่ยาว ปมอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชเรียกรับส่วยนั่นก็แผลเบ้อเริ่ม ยังมีเรื่องของหลานไปเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินของมาเฟียจีนสีเทา ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ขณะที่ชูวิทย์ก็แฉไม่หยุด ล่าสุดถึงขนาดที่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลตั้งคณะกรรมการสอบว่า “เกลือเป็นหนอน” ทำข้อมูลในสำนวนสอบสวนคดีบ่อนจินหลิงหลุดไปอยู่ในมืออดีตเจ้าพ่ออ่าง ต้องยอมรับกันว่าสิ่งที่อยู่ในมือของชูวิทย์นั้นไม่ธรรมดา

เท่ากับว่าสิ่งที่นำมาเปิดเผยทั้งคลิป ทั้งเอกสารล้วนแต่เป็นของจริง และได้มาจากวงในทั้งในส่วนของมาเฟียจีนสีเทาและเจ้าหน้าที่ตำรวจ และการลากเอาหลานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเข้ามาเชื่อมโยงด้วย งานนี้จะปล่อยผ่าน วางเฉยไม่ได้ ต้องทำให้ทุกอย่างกระจ่างก่อนที่จะเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแบบเต็มตัว เพราะถึงเวลานั้น หรือแม้แต่นาทีนี้ก็มีนักเลือกตั้งพร้อมที่จะร่วมขบวนกับชูวิทย์ด้วย ที่สำคัญคือเป็นคนในพรรคที่ยังร่วมรัฐบาลกันด้วย ถือเป็นการทำงานที่ถนัด เพราะนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่พรรคการเมืองนี้จะพลิกสถานการณ์จากที่ถูกพวกเดียวกันใช้พลังดูดจนซีด กลับมาอยู่ในกระแส เพิ่มความนิยมได้อีกครั้ง

ส่วนใครที่มองว่าถ้าไม่มั่นใจว่าตัวเองจะได้กลับมา ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคงไม่กล้าที่จะกระโดดมาเล่นการเมืองเต็มตัวแบบนี้ หากมองในมุมของกองเชียร์และกุนซือสอพลอก็ต้องยอมรับว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเชื่อมั่นในพลังของฝ่ายอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง แต่ถ้ามองบนพื้นฐานความเป็นจริงอิงหลักวิชาการเหมือนอย่างที่ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ช่วยแยกแยะความเป็นไปได้ของแต่ละพรรคการเมืองก็จะเห็นภาพที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงอยู่ไม่น้อย

พิชายยก 4 สมรรถนะมาเป็นตัวชี้วัดสำหรับพรรคการเมืองขั้วรัฐบาลและฝ่ายค้านคือ คะแนนนิยมผู้นำพรรค คะแนนนิยมพรรค ฐานทรัพยากร และ เครือข่ายหัวคะแนน เอาเฉพาะเพื่อไทยเทียบกับพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ พบว่าพรรคนายใหญ่มีสูงมาก สูงมาก ค่อนข้างมากและเข้มแข็ง ขณะที่พรรคของท่านผู้นำอยู่ในระดับปานกลาง ค่อนข้างต่ำ ค่อนข้างมาก และค่อนข้างอ่อนแอ ถ้าแปรจากตัวชี้วัดเหล่านี้มาเป็นคะแนนเสียง จะพบว่าซีกของรัฐบาลปัจจุบันหลังเลือกตั้งจะได้ ส.ส.เต็มที่ไม่เกิน 190 เสียง โอกาสของพรรคและตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลจึงยากไปด้วย ถ้าไม่ใช้เล่ห์กลใดมาช่วย

Back to top button