พาราสาวะถี
เสร็จสิ้นพิธีกรรมเปิดตัวและสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติไปเรียบร้อย ถามว่าคนไทยส่วนใหญ่ได้หรือเห็นอะไรจากงานดังกล่าวหรือไม่ เปล่าเลย
เสร็จสิ้นพิธีกรรมเปิดตัวและสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติไปเรียบร้อย ถามว่าคนไทยส่วนใหญ่ได้หรือเห็นอะไรจากงานดังกล่าวหรือไม่ เปล่าเลยทุกกระบวนการมันก็คือภาพสะท้อนของขบวนการม็อบนกหวีดที่โบกมือดักกวักมือเรียกผู้นำเผด็จการ คสช.มายึดอำนาจเมื่อปี 2557 นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการเกณฑ์คน คนที่พูดปราศรัยบนเวที แม้กระทั่งนักร้องที่ไปร่วมขับขานบทเพลงสร้างสีสันในงานเดียวกัน ก็เป็นพวกที่ร่วมขบวนการชัตดาวน์ประเทศทั้งสิ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ถามว่า คะแนนเสียงที่หวังจะได้จากคนส่วนใหญ่มันอยู่ตรงไหน ยิ่งคำพูดที่ว่า ไม่ได้อยากเป็นใหญ่ แต่ขอไปต่ออ้างว่างานยังไม่จบ ใครเชื่อก็บ้าและยิ่งให้โอกาสกว่า 8 ปีที่ผ่านมา มีอะไรดีขึ้นบ้าง นอกจากความสงบที่แหกตาชาวบ้าน จนทุกอย่างสงัดทั้งปากท้องประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ คนที่จะเชื่อก็หนีไม่พ้นบรรดากองเชียร์ไม่ลืมหูลืมตา นั่นหมายความว่า เปิดตัวกันแบบนี้ฐานเสียงที่จะแย่งชิงเพื่อให้ได้เก้าอี้ ส.ส.ก็เป็นฐานเดียวกับประชาธิปัตย์ พรรคสืบทอดอำนาจ รวมถึงภูมิใจไทยด้วย
การแต่งตั้ง ชัชวาลล์ คงอุดม ชุมพล กาญจนะ และ เสกสกล อัตถาวงศ์ เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็แทบจะไม่ต้องบอกว่าหัวโขนเช่นนี้มีไว้เพื่ออะไร แต่คนเหล่านี้จะมีศักยภาพที่ทำให้ได้เก้าอี้ ส.ส.กี่มากน้อย เต็มที่ก็แค่ 1-2 คนในย่านอิทธิพลของตัวเอง โดยเฉพาะรายหลังยังมีความน่าเชื่อถือที่จะเรียกคะแนนให้ผู้สมัคร ส.ส.เขตของพรรคผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้อย่างนั้นหรือ ต่อให้ลงสมัครเองก็มีโอกาสที่จะสอบตกมากกว่าได้
การเปิดตัวที่ทำให้ดูเหมือนว่ายิ่งใหญ่ อบอุ่น สุดท้ายก็หนีไม่พ้นกระบวนการจัดตั้ง เหมือนเมื่อครั้งที่มีคนเคยบอกจังหวะให้คอยปรบมือให้ลุงตู่สู้ ๆ ฐานะที่เป็นคนชอบสั่งซ้ายหันขวาหันอาจจะชื่นชอบวิธีการแบบนี้ แต่ทางการเมืองแล้วมันเป็นเรื่องตลก ขณะเดียวกัน เมื่อมองไปยังเบื้องหลังผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในวันเปิดตัว นอกจากคนตกยุค และอดีต ส.ส.ที่เป็นอดีตจนคนแทบจำไม่ได้ กับพวกที่รอวัดใจให้ย้ายมาร่วมงานด้วย มองยังไงก็ยังห่างไกลกับเก้าอี้ 25 ส.ส.อยู่ดี
งานนี้ที่วางใจไม่ได้ต้องสร้างแรงจูงใจ และเพิ่มพลังในการรั้งตัวคนของตัวเองไว้อย่างดีย่อมเป็นพรรคเก่าแก่และพรรคแกนนำรัฐบาล การตกปลาในบ่อเพื่อนและบ่อพี่นั้นเป็นวิธีการที่ง่ายและได้ผล หวังผลดีที่สุด อยู่ที่ว่าจะกล้าอัดกระสุนดินดำหรือไม่ แต่ใช่ว่าพรรคฝ่ายค้านโดยเฉพาะเพื่อไทยจะวางใจหรือยิ้มร่าที่เห็นว่าการเปิดตัวของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ไม่ได้สร้างความหนักใจ ไม่กระทบฐานเสียง หรือเป็นคู่แข่งในพื้นที่เป้าหมายแต่อย่างใด
เพราะกระแสข่าวเรื่องการยุบพรรคหลังการยุบสภายังคงไม่จางหายไปไหน ล่าสุด ก็มีข่าวพรรคภูมิใจไทยจะยื่นให้ยุบพรรคนายใหญ่ต่อกรณีกล่าวหาเรื่องการย้ายพรรคของ ส.ส. และการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. นั่นก็เป็นเค้าลางถึงความเป็นไปได้ของยุทธวิธีไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล เมื่อองคาพยพที่แต่งตั้งจากอำนาจเผด็จการยังคงอยู่กันครบครันจะปล่อยให้เสียของได้อย่างไร
แต่วิธีการเช่นนี้มันจะต้องแลกด้วยความวุ่นวาย โดยไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร การเมืองเมื่อเข้าสู่โหมดช่วงชิงอำนาจกันแล้ว ไม่มีคำว่ามิตรแท้ศัตรูถาวร ที่เห็นยังอยู่ร่วมหัวจมท้ายกันก็อาจจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นศัตรูโดยฉับพลันก็ได้ ต้องไปถามบรรดากุนซือหรือคนสนิทที่ติดตามพี่น้องแก๊ง 3 ป.อย่างใกล้ชิด การคุยกันก่อนประชุม ครม.เป็นประจำที่ห้องสีเหลืองนั้น บรรยากาศเป็นเหมือนก่อนหน้านี้หรือไม่ ภาพที่แสดงออกกับปฏิกิริยาลับหลังเหมือนกันหรือเปล่า คนเหล่านี้ต่างรู้ดี
ไม่ใช่เพราะลิ่วล้อคอยเสี้ยมแล้วนายดันเชื่อ หากแต่เป็นเรื่องแนวคิด และวิถีทางการเมืองที่คนหนึ่งมองจากภาพแห่งความเป็นจริง ขณะที่อีกคนยืนอยู่บนความต้องการที่ตัวเองจะต้องได้เหมือนที่เคยเป็นมา เบื้องลึกเบื้องหลังของความมั่นใจเช่นนั้น เป็นเพราะเชื่อในกลไกของพวกที่มีบุญคุณท่วมหัวต่อกันจะทำงานในเชิงเป็นคุณต่อตัวเองและเป็นโทษกับคู่แข่ง ด้านหนึ่งเป็นเพราะมีเสียงกระซิบมาจากผู้ซึ่งเชื่อว่าสามารถจะพลิกชะตากรรมให้กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ จริงหรือแค่แอบอ้างอีกไม่นานจะได้รู้กัน
สำหรับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. นับตั้งแต่ได้ใช้ใจบันดาลแรงคราวรักษาการนายกฯ มาจนถึงบัดนี้ยังคงกระชุ่มกระชวย เลือดลมสูบฉีดดี ไม่ใช่เพราะจะได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียวของพรรคสืบทอดอำนาจ หากแต่เบาตัวและสบายใจที่ไม่ต้องมาแบกรับภาระในการค้ำยันให้น้องเล็กที่เอาแต่ใจได้เสวยสุขเหมือนที่ผ่านมา แม้ว่าลูกพรรคของตัวเองจะถูกพลังดูดจากพวกเดียวกันทั้งซ้ายและขวา ทว่าอนาคตการเมืองหลังเลือกตั้งกลับสดใส ไม่ว่าใครได้เป็นรัฐบาลพรรคของตัวเองไม่ตกขบวนแน่นอน
หลังจากได้ฟังวิสัยทัศน์ หรือที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวพรรคเพื่อไทยบอกว่าน่าจะเป็น “วิสัยท่าน” ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมากกว่า ก็ทำให้มองเห็นว่าหลังการเลือกตั้งถ้าขั้วการเมืองเดิมยังจับมือกันได้อยู่ ตัวนายกฯ คนที่ 30 ก็ไม่น่าจะใช่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอีกต่อไป ยิ่งยึดเอาคำพูดที่ว่าไม่ได้อยากเป็นใหญ่แต่ขอได้ไปต่อ ก็อาจจะเป็นการปูทางลงด้วยการยอมเป็นพระรองปล่อยให้คนที่อยากเป็นและมีแรงหนุนที่ไม่อาจปฏิเสธได้ กลายเป็นผู้สมหวังในที่สุด
หลังเป็นนักการเมืองเต็มตัวไม่ใช่มีภารกิจหน้าที่ที่จะไปช่วยให้พรรครวมไทยสร้างชาติต้องได้ ส.ส.ในจำนวนที่ต้องการ และทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองได้หวนคืนสู่อำนาจ อย่าลืมว่าวันที่เปิดตัว ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ผู้เปิดโปงขบวนการมาเฟียจีนสีเทาได้เข้าพบผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ก่อนจะประกาศว่าท่านผู้นำเป็นชายชาติทหารขอให้หยุดเคลื่อนไหวโดยรับปากจะจัดการเรื่องที่ตนแฉให้เรียบร้อย ถ้าทำตามที่พูดก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าแค่ซื้อเวลา นี่ก็จะกลายเป็นหอกที่ย้อนมาทิ่มแทงเอาในวันเลือกตั้ง
การทุจริตที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอ้างว่ายุคตนไม่มี ถึงขนาดมีรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่คำพูดของ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่ปรึกษานายกฯ ที่ตัวเองตั้งขึ้นมา บอกว่ายุคนี้มีเงินทอนกันหนักระดับ 40-50% แบบนี้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังจะนิ่งเฉย ไม่ขอข้อมูลจากคนหัวหงอกสามสีไปจัดการต่อ มันหมายความว่าอะไร สิ่งที่พยายามจะปิดหรือช่วยกันซุกใต้พรมเอาไว้ เวลาเลือกตั้งระวังจะถูกลากไส้มาแฉยับ ที่น่ากลัวคือข้อมูลที่หลุดมาจากพวกเดียวกัน