พาราสาวะถี
เริ่มเห็นเป็นเนื้อเป็นหนังมากกว่าพรรคใหม่ของน้องเล็ก สำหรับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ที่วันอังคารซึ่งได้ลาการประชุม ครม.
เริ่มเห็นเป็นเนื้อเป็นหนังมากกว่าพรรคใหม่ของน้องเล็ก สำหรับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ที่วันอังคารซึ่งได้ลาการประชุม ครม. ตามข่าวบอกว่าลาป่วย แต่รักษาการโฆษกรัฐบาลยืนยันผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยกหูหาบอกเป็นการลาไปปฏิบัติภารกิจ แน่นอนเป็นไปตามนั้นเพราะในวันเดียวกันพี่ใหญ่ก็ไปปรากฏตัวที่จังหวัดราชบุรี โดยมี ส.ส.ของพรรคสืบทอดอำนาจและต่างพรรคอย่าง ประชาธิปัตย์ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่งานนี้อาจไม่อุ่นใจ เพราะคล้อยหลังพี่ใหญ่วันนี้ (19 ม.ค.) น้องเล็กก็จะลงพื้นที่เมืองโอ่งเหมือนกัน
น่าสังเกตก็คือ คำทักทายของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.กับบรรดา ส.ส.ของพรรคที่ให้การต้อนรับซึ่งใช้สถานที่บ้านของ วิวัฒน์ นิติกาญจนา นายก อบจ.ราชบุรี บอกว่า “เป็นอย่างไรกันบ้าง ยังรักกันอยู่เปล่านะ แต่ฉันยังรักพวกแกนะ อุตส่าห์ลา ครม.เลยนะแกเอ๋ย” คำตอบที่ทุกคนพร้อมใจกันบอกพี่ใหญ่ก็คือ ยังรักลุงอยู่ ก่อนที่จะบอกหัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจว่าวันพฤหัสบดีนี้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะมาราชบุรีอีก “พวกเราต้องไปรับนายกฯ ตามหน้าที่” โดยที่พี่ใหญ่ก็บอกว่า ไปเถอะท่านเป็นนายกฯ ไปทำตามหน้าที่
เหมือนจะเป็นการยืนยันว่า การลงพื้นที่ทับซ้อนกันของน้องเล็กนั้นเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่การตรวจราชการ แต่เป็นความประสงค์ที่จะเปิดโต๊ะเจรจาดึงตัว ส.ส.ของพรรคสืบทอดอำนาจให้ย้ายไปสังกัดรวมไทยสร้างชาติ แน่นอนว่า จังหวัดราชบุรีนั้นขึ้นชื่อเรื่องของ ส.ส.เปลี่ยนสีเสื้อกันเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่ต่างมั่นใจในฐานเสียงของตัวเอง บวกกับพลังกระสุนที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคต้นสังกัด งานนี้ก็อยู่ที่ว่าผู้มาใหม่จะใจถึงมากกว่าพี่ใหญ่หรือไม่
การแย่งซีนหรือจะเรียกว่าช่วงชิงทั้งความนิยมของประชาชน หัวคะแนนและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของแต่ละจังหวัดระหว่างพี่ใหญ่กับน้องเล็กนั้น มีให้เห็นมาตลอดไม่ว่าใครจะลงไปในพื้นที่ใด อีกไม่กี่อึดใจอีกคนก็จะลงไปซ้ำรอยอีกรอบ ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้ฝ่ายตรงข้ามสบายใจ นอกเหนือจากจะไม่มีการแย่งตัวผู้สมัครไปจากพรรคตัวเองแล้ว ยังเป็นการแย่งคะแนนกันเองของพวกเดียวกันด้วย นั่นจึงเป็นช่องให้ตาอยู่มีโอกาสคว้าพุงปลา ได้เก้าอี้ ส.ส.ไปครองได้เช่นกัน
นอกเหนือจากการขยับตัว ขยันลงพื้นที่เพื่อตรวจเช็กความพร้อมและความมั่นใจว่า ส.ส.ของพรรคยังจะอยู่ร่วมหัวจมท้ายกับพรรคสืบทอดอำนาจต่อไป พี่ใหญ่ก็เริ่มที่จะเดินเกมขยับเปิดนโยบายหาเสียงของพรรคแต่เนิ่น ๆ ถือเป็นการตัดหน้าน้องเล็กที่ไม่น่าจะมีจุดขายที่แตกต่างไปจากพรรคแกนนำรัฐบาลเท่าไหร่ ในขณะที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังรอจังหวะ ถือฤกษ์ถือยามอยู่ พี่ใหญ่ก็ได้นำทัพแกนนำและ ส.ส.ของพรรคประกาศนโยบายเป็นประเดิมไปแล้วเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
เริ่มต้นกันด้วยการชูเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจนเป็น 700 บาทต่อเดือน ทั้งที่ทีมงานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ หมายมั่นปั้นมือว่า จะใช้เรื่องบัตรคนจน โครงการคนละครึ่ง และอีกสารพัดโครงการแจกสะบัดเป็นนโยบายหาเสียง อ้างเป็นความสำเร็จที่เป็นรัฐบาลมานานกว่า 8 ปี แต่พี่ใหญ่กลับชิงลงมือตัดหน้าเสียก่อน กรณีนี้ถือเป็นความท้าทายน้องเล็กจะอ้างเรื่องวินัยการคลัง การใช้เงินอย่างระมัดระวังมาดักคอ เหมือนอย่างที่เคยปรามาสค่าแรงวันละ 600 บาทของพรรคเพื่อไทยหรือไม่
ความจริงต้องยอมรับกันว่า ทีมงานสร้างภาพลักษณ์และกุนซือของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.นั้นก็มีการเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อเป้าหมายการก้าวไปสู่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มตัวของพรรค จะเห็นได้จากการทำปฏิทินผลงานเป็นรายเดือนในรอบปี 2565 ของพี่ใหญ่ ตามมาด้วยจดหมายเปิดใจ นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าเรื่องที่จะแยกกันเดินรวมกันตีนั้นน่าจะไม่เป็นความจริง สิ่งสำคัญที่ทำให้ลูกพรรคสืบทอดอำนาจเฮลั่นกันอย่างคึกคักคือ คำประกาศของพี่ใหญ่ต่อความพร้อมเป็นนายกฯว่า “ก็เลือกมาดิ ถ้าเลือกได้ก็เป็น ถ้าประชาชนเลือกได้ให้ผมเป็นผมก็เป็น”
ขณะเดียวกัน สิ่งที่เป็นความแตกต่างระหว่างพี่ใหญ่กับน้องเล็กตามที่ได้ย้ำมาตลอดคือ จังหวะก้าวทางการเมืองบนถนนสายเลือกตั้งครั้งหน้า โจทย์ของพี่ใหญ่คือแม้ไม่ได้เป็นนายกฯ ก็พร้อมที่จะร่วมมือกับทุกพรรค ทำงานได้กับทุกฝ่าย เหมือนอย่างที่เจ้าตัวยืนยันว่า เราก้าวข้ามความขัดแย้ง ตนไม่ได้บอกว่า ตนจะจับมือกับใคร ทุกพรรคเรามาคุยกันได้ เปิดโอกาสให้คุยกันได้ เป็นไปตามที่มือประสานสิบทิศของพี่ใหญ่ได้ทำงานอย่างหนักอยู่ในเวลานี้
ผิดกับน้องเล็กที่โจทย์สำคัญคือ ต้องเป็นนายกฯ เท่านั้น ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม ถึงขนาดที่ ส.ว.ลิ่วล้อสอพลอกล้านำเสนอจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีการยกเลิกข้อห้ามเป็นนายกฯ เกิน 8 ปี นี่ก็บ่งชี้ความประสงค์ว่าอยากอยู่ยาวขนาดไหน เพียงแต่ว่าการขยับครั้งนี้ไม่สามารถที่จะทำตามอำเภอใจได้เหมือนคราวมีหัวโขนผู้นำเผด็จการ คสช.ได้อีกแล้ว ซึ่งยังคงประมาทพวกเนติบริกรศรีธนญชัยและนักกฎหมายขายตัวทั้งหลายไม่ได้ ชั้นเชิงที่ไม่ธรรมดาบวกกับการอาศัยองค์กรที่แบกความมีบุญคุณท่วมหัวอยู่ ทุกอย่างจึงสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้แบบไร้ยางอาย
ประเภทอย่างหนาที่พูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่องนั้น มันพิสูจน์ให้เห็นกันจะจะ เช่นกรณีการแต่งตั้งที่ปรึกษาหรือข้าราชการการเมืองที่อาศัยอำนาจของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เห็นกันอยู่ว่าล้วนแต่เป็นคนของพรรคที่ตัวเองไปสังกัดทั้งสิ้น พิจารณาเงื่อนเวลาที่เหลือที่ไม่ใช่เพื่อหวังผลทางการเมืองแล้วจะแต่งตั้งให้คนครหาทำไม จึงไม่แปลกกับฉายาหน้ากากคนดี เช่นเดียวกับการที่จะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคอื่นทั้งที่ตัวเองยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคแกนนำรัฐบาลปัจจุบัน คนมีมารยาทที่ไหนเขาทำกัน
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการเซ็นคำสั่งย้ายอธิบดีที่เรียกรับส่วยมาช่วยงานสำนักนายกฯ ทั้งที่ควรจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของปลัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต้นสังกัด ว่ากันว่าไม่ใช่เพราะต้องการโชว์ความเด็ดขาดในการเอาผิดพวกคดโกง แต่เป็นการอุ้มสมส่งสัญญาณให้ฝ่ายตรวจสอบรู้ว่าไผเป็นไผ จึงไม่แปลกที่จะเกิดการงัดข้อกับพี่ใหญ่กรณีตั้งอธิบดีอีกรายก่อนหน้านี้ เลือกตั้งหนนี้นอกจากจะสู้กับนักการเมืองคู่แข่งแล้ว บรรดาข้าราชการที่ถูกข้ามหัวข่มเหงมากว่า 8 ปีก็จะถือโอกาสสั่งสอนขบวนการสืบทอดอำนาจเหมือนกัน