JMT ขึ้นรูป JAM เข้าตลาด.!

หลังจากเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว กลุ่มเจ มาร์ทของ “เฮียอดิศักดิ์” ผลักดัน SGC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SINGER เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สำเร็จ


หลังจากเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว กลุ่มเจ มาร์ทของ “เฮียอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ผลักดันบริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สำเร็จ มาปีนี้ก็มีอีกหลายตัวที่รอคิวจะตามรอยรุ่นพี่ SGC เข้าตลาดฯ (ตามแผนวางลิสต์ไว้ 6 บริษัทด้วยกัน)..!!

หนึ่งในนั้นคือ บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด (JAM) ซึ่งเป็นลูกในไส้ของบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ที่อยู่ระหว่างขึ้นรูป อุ๊ย…แต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปีนี้…

โดยล่าสุดมีการประกาศเพิ่มทุนแบบ PP ซึ่งจากเดิม JMT ถือหุ้น JAM สัดส่วน 100% ก็ดึงบริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด บริษัทลูกของแบงก์สีเขียว ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เข้ามาถือหุ้นด้วยในสัดส่วน 9.9% มูลค่าเงินลงทุน 3,500 ล้านบาท

ก็เป็น Pre–IPO เป็นการปรับโครงสร้างทุน โครงสร้างผู้ถือหุ้น และแอสเซท ก่อนจะเข้าตลาดฯ นั่นเอง…

สิ่งที่น่าสนใจ JAM ซึ่งทำธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกัน ถ้าไปส่องผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากเว็บไซต์กรมธุรกิจการค้า ถือว่าเติบโตดีมั๊กมั่ก…ปี 2562 มีรายได้รวม 968 ล้านบาท กำไรสุทธิ 464 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 47.96% ถัดมาปี 2563 มีรายได้รวม 1,514 ล้านบาท กำไรสุทธิ 780 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 51.53% ส่วนปี 2564 มีรายได้รวม 2,119 ล้านบาท กำไรสุทธิ 983 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 46.42%

ดังนั้น ถ้าเทียบเคียงกำไรในปี 2564 ของ JAM อยู่ที่ 983 ล้านบาท กับกำไรในปี 2564 ของ JMT ที่ 1,400 ล้านบาท ก็คิดเป็น 70.21% เชียวนะ…

แล้วถ้าไปดูพอร์ตสินเชื่อของ JMT ณ สิ้นไตรมาส 3/2565 ซึ่งมีหนี้ที่มีหลักประกันราว 3,560 ล้านบาท ก็ชัดเจนว่าน่าจะเป็นพอร์ตของ JAM นั่นแหละ

ขณะที่ การเพิ่มทุนครั้งนี้ถือเป็นการสร้างศักยภาพให้กับ JAM เนื่องจาก 1) ได้พันธมิตรที่เป็นแบงก์ใหญ่อย่าง KBANK เข้ามาร่วมหัวจมท้าย มาเป็นแบ็กอัพให้…

และ 2) ได้เงินทุนก้อนใหญ่ 3,500 ล้านบาท เข้ามาเติมหน้าตัก เพื่อเอาไปซื้อหนี้ที่มีหลักประกัน ก็จะทำให้พอร์ตของ JAM ใหญ่ขึ้น เวลาเข้าตลาดฯ ก็จะมี Valuation มากขึ้น

ในมุมของ KBANK ก็จะได้ 2 ขาด้วยกัน…ขาแรก ถ้าเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ก็คงขายให้กับ JK AMC ส่วนหนี้ที่มีหลักประกันก็คงให้ JAM มารับไป ทำให้สามารถระบายหนี้ที่มีหลักประกันออกไปได้เร็ว

ส่วนอีกขา เมื่อ JAM มีพอร์ตใหญ่ขึ้น KBANK ก็จะได้ประโยชน์จากการถือหุ้น 9.9% ซึ่งอาจรับรู้ในรูปของรายได้และกำไร หรือเงินปันผลตามสัดส่วนการถือหุ้น

งานนี้ก็ win-win กันทุกฝ่าย..!!

โอเค…แม้ระยะสั้นอาจเกิดไดลูชันเอฟเฟกต์กับผู้ถือหุ้นเดิมของ JMT จากการสปินออฟ JAM เข้าตลาดฯ (ทำให้จากที่เคยรับรู้ JAM แบบเต็มร้อย..!!) แต่ถ้า JAM สามารถสร้าง Valuation ได้ ก็น่าจะไปชดเชยกับสิ่งที่ขาดหายไปได้ล่ะมั้ง…

ทำให้เมื่อบวกลบคูณหารกันแล้ว ก็น่าจะคุ้มอยู่แหละ…

ใช่ปะคะ “เฮียอดิศักดิ์” ขาาา…

…อิ อิ อิ…

Back to top button