พาราสาวะถี
ถามว่ามีความน่าสนใจมากแค่ไหนกับการเตรียมขึ้นเวทีปราศรัยครั้งแรกของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
ถามว่ามีความน่าสนใจมากแค่ไหนกับการเตรียมขึ้นเวทีปราศรัยครั้งแรกของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่จะเกิดขึ้นในวันเสาร์นี้ (28 ม.ค.) ณ ลานหน้าเทศบาลเมืองชุมพร หากพิจารณาในแง่ของพื้นที่ถือว่าไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น และเรื่องที่จะพูดก็คงไม่มีอะไรให้หวือหวา เร้าใจ มากไปกว่าการประกาศความเป็นหนึ่งเดียวกันของพวกที่เป็นม็อบนกหวีดชัตดาวน์ประเทศ จนทำให้มีผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยาวนานมากว่า 8 ปีก็เท่านั้น
ประเด็นที่ผู้คนโดยเฉพาะคอการเมืองเฝ้าติดตาม ลุ้นกันมากกว่าน่าจะเป็นกรณีที่มีข่าวว่าพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.จะปาดหน้าลงพื้นที่จังหวัดชุมพรในช่วงเช้าวันเดียวกัน โดยภารกิจแบบเดิมคือ ติดตามการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดชุมพรและพบปะประชาชน แม้ว่าจะมีการปฏิเสธจากพี่ใหญ่หลังประชุม ครม.เมื่อวันอังคารว่าไม่มีคิวที่จะไปชุมพรในวันดังกล่าวก็ตาม เนื่องจากคนส่วนใหญ่มองว่าระยะหลังพี่ใหญ่สับขาหลอกน้องเล็กจนหัวหมุน ทำให้หงุดหงิดจนแสดงอาการให้สังคมได้เห็นกันบ่อยครั้ง
ความเคลื่อนไหวของสองพี่น้องที่กลายเป็นไวรัลชี้ให้เห็นถึงปมความขัดแย้งว่า ไม่ใช่แค่ความเห็นต่างทางการเมืองและต้องต่อสู้กันในฐานะที่อยู่คนละพรรคเสียแล้ว เพราะสิ่งที่ทำให้พี่ใหญ่ไม่พอใจน้องเล็กเป็นอย่างมากคือการปล่อยให้สื่อที่ก็รู้อยู่ว่ารับเงินมาจากไหน ไปให้ข่าวกล่าวร้ายพี่ใหญ่หรือดิสเครดิตพรรคสืบทอดอำนาจอยู่ตลอดเวลา ยิ่งประเด็นการแย่งชิงตัว ส.ส.ในพื้นที่ความหวังหลายแห่ง ทั้งที่พี่ใหญ่ปิดดีลไปแล้ว แต่สื่อดังว่าก็พยายามตีข่าวว่าพี่ใหญ่หน้าแหกถูกน้องเล็กตีท้ายครัวไปเรียบร้อยแล้ว
แม้จะไม่ใช่สื่อกระแสหลักแต่ก็สร้างความหงุดหงิดให้กับพี่ใหญ่ไม่น้อย ดังนั้น การเล่นเกมจิตวิทยาว่าด้วยการปาดหน้า จึงเป็นการแก้เผ็ดเพื่อส่งสัญญาณไปยังน้องเล็กอย่าได้คิดเดินเกมการเมืองสกปรกกับพี่ แต่กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง เราจะได้เห็นการปาดหน้ากันอีกหลายยก จนกว่าทั้งสองพรรคจะจัดสรรตัวผู้สมัครเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่สงครามปั่นประสาทที่ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหัวเสียก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง
๑๑ชี้แจงแบบเสียมิได้กับปมพี่ใหญ่ปาดหน้าด้วยการบอกว่าไม่ได้ผูกขาติดกันไว้ ใครจะไปไหนก็ได้ในแผ่นดินนี้ ก็เป็นเรื่องถูกต้อง แต่นักการเมืองที่เก็บอารมณ์ได้จะไม่ตอบแบบนี้ ยังไม่หมดเท่านั้นนักข่าวสายเฝ้านายกฯ ก็ยังไล่บี้ถามคำถามกรณีของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ไล่ให้ไปเลี้ยงหลาน และปรามาสไม่กล้ายุบสภาเพราะพรรครวมไทยสร้างชาติยังไม่พร้อม กับคำตอบที่ว่า “อย่าถามถึงคน ๆ นั้น ผมไม่ชอบ” ก็ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่จะทำให้สื่อเลิกถามได้
ต้องอย่าลืมว่า ยังมีด่านหินที่ท้าทายหรืออาจจะเป็นเกมวัดใจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเลยก็ว่าได้คือ การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ ที่พรรคฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติไว้ โดยที่วิปทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันแล้วว่าจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์นี้ ตามมาด้วยการยืนยันจากรักษาการโฆษกรัฐบาล อนุชา บูรพชัยศรี ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพร้อมที่จะไปชี้แจงในวันดังกล่าว
มีการประกาศด้วยว่าจะใช้เวทีนี้เป็นเวทีชี้แจงการทำงานของรัฐบาล และจะถือเป็นการหาเสียงให้กับตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและพรรคต้นสังกัดด้วย แน่นอนว่า หากไม่มีการยุบสภาชิงหนีการซักฟอกเสียก่อน นอกจากจะตอบโต้กับข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายแล้ว ประสาของคนที่ไม่ชอบขี้หน้า ท่านผู้นำก็จะได้ใช้เวทีนี้พาดพิงหรือโจมตีไปถึงคนแดนไกล ซึ่งก็ได้เห็นแล้วจากการอภิปรายทุกครั้งที่ผ่านมา และก็จะรวมไปถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วย
ถามว่าเป็นการกล่าวหา พาดพิงเพื่อหวังที่จะสร้างคะแนนเพิ่มให้กับรวมไทยสร้างชาติและผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างนั้นหรือ คิดในมุมของคนที่เกลียดสุดขั้วก็เป็นเช่นนั้น แต่หากมองอย่างคนปกติทั่วไป งานนี้ได้เพียงแค่ความสะใจของคนที่พูดและกองเชียร์ที่ก้มหน้าก้มตาเชียร์เท่านั้น ก็เห็นกันอยู่แล้วกว่า 8 ปีที่ผ่านมา ไม่มีทักษิณและเครือข่ายอยู่ในวงจรอำนาจของประเทศบ้านเมืองเป็นอย่างไร ยิ่งเรื่องการโกง หักหัวคิว รับเงินทอน คนใกล้ตัวท่านผู้นำเป็นคนพูดเองหนักข้อกันขนาด 40-50 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทีเดียว
มีรัฐธรรมนูญปราบโกงแต่ทุจริตกันมโหฬาร ผู้นำไม่โกงแต่บริวารแวดล้อม คนที่ช่วยกันค้ำยันให้อยู่ยาวถูกกล่าวหาและจับตามองว่ามีเอี่ยวกับการรับสินบาทคาดสินบนกันจนปากมัน การพูดว่าคดีตู้ห่าวเป็นการดิสเครดิตกันทางการเมืองนั้น คงต้องถาม ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ผู้ที่ปูดข้อมูลและส่งพยานหลักฐานให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไปจัดการ มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ตรงนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการซักฟอก และน่าติดตามว่า ข้อมูลของชูวิทย์ที่ยื่นให้ถึงมือท่านผู้นำ กับที่อยู่ในมือ รังสิมันต์ โรม ส.ส.ก้าวไกลนั้น เป็นหนังคนละม้วนกันหรือไม่
ล่าสุด คนที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ชอบ ก็ได้มีการทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่งสารมาถึงท่านผู้นำ ด้วยการยกเอาคำของนักปราชญ์มาเตือนสติว่า “คนที่มีอำนาจมากเท่าไหร่ ก็เริ่มหันหลังให้กับความจริงมากเท่านั้น” น่าจะช่วยกระตุกสำเหนียกของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้บ้างว่า ถ้าไม่มืดบอดหรือมัวเมากับอำนาจที่มีนั้น มองเห็นอะไรเป็นตัวฉุดรั้งความเจริญของประเทศ และดึงขาให้ตัวเองที่อ้างว่าบริสุทธิ์ ผุดผ่อง แปดเปื้อนบ้าง ความจริงสิ่งที่ทักษิณบอกไม่ใช่เรื่องของปราชญ์อะไรที่ไหน แต่น่าจะเป็นเรื่องจริงที่ตัวเองเคยเป็นมาก่อนกับการเหลิงอำนาจเมื่อคราวเรืองอำนาจ
หากไม่มีการยุบสภาตามราชาฤกษ์ที่เคยมีข่าวเล็ดลอดมาก่อนหน้านี้คือ 14 กุมภาพันธ์ แล้วผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจปล่อยให้มีการซักฟอก แสดงว่าจะต้องอยู่กันจนครบวาระใช่หรือไม่ คงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะจะมีการประเมินปฏิกิริยาของสังคมหลังซักฟอกว่าเป็นอย่างไร ระหว่างนี้ก็จะรอร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับด้วยว่าจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงมาหรือไม่ แต่ดูแนวโน้มแล้วยังเชื่อว่ายุบแน่ เว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุอย่างอื่นมาแทรกระหว่างรอให้ครบวาระนั่นก็อีกเรื่อง