WAVE ดีดบวก 6% รับรุกธุรกิจคาร์บอนเครดิต “สิงคโปร์” จับตาปี 66 “เทิร์นอะราวด์”
WAVE ดีดบวก 6% รับบอร์ดไฟเขียวตั้งบริษัทย่อย “Wave BCG PTE Company Limited” ในสิงคโปร์ รองรับการขยายธุรกิจคาร์บอนเครดิตในต่างประเทศ จับตาดันผลงานปี 66 “เทิร์นอะราวด์”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(30ม.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WAVE ณ เวลา 16:22 น. อยู่ที่ระดับ 0.17 บาท บวก 0.01 บาท หรือ 6.25% ราคาสูงสุด 0.18 บาท ราคาต่ำสุด 0.16 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 51.18 ล้านบาท
ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2566 ได้อนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศสิงคโปร์ โดยให้บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัดซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทถือหุ้นร้อยละ 100 เพราะะฉะนั้น บริษัทดังกล่าวจะถือเป็นบริษัทย่อยทำงอ้อมของบริษัท ภายใต้ชื่อ “Wave BCG PTE Company Limited” เพื่อรองรับการขยายธุรกิจคาร์บอนเครดิตในต่างประเทศ ทุนจดทะเบียน 10,000 เหรียญดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อเป็นการขยายฐานคู่ค้าและลูกค้ามากขึ้นทำให้บริษัทมีรายได้มากขึ้นและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
โดยก่อนหน้านี้นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WAVE เปิดเผยว่า ปี 66 ถือเป็นปีแห่งการปรับโครงสร้างใหญ่ธุรกิจครั้งใหญ่ของกลุ่ม WAVE เพื่อมุ่งไปสู่ธุรกิจให้บริการด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจร (Carbon Credit และ Renewable Energy Certificate หรือ RECs) โดยเป็นตัวกลางการซื้อขายแลกเปลี่ยน ให้คำปรึกษาและวางแผนด้านคาร์บอนเครดิต ทำหน้าที่ในการจัดหาทรัพยากร ที่มีใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย Carbon Credit และ RECs
สำหรับธุรกิจใหม่ด้าน Carbon Credits/ RECs ของ WAVE ดำเนินการภายใต้ บริษัท Wave BCG ซึ่งเป็นบริษัทลูก ซึ่งมีโมเดลให้บริการด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจร ทั้งการให้คำปรึกษา สำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย ที่ต้องการดำเนินการด้านคาร์บอนเครดิต แบบ One Stop Service การเป็นผู้พัฒนาและผู้ประเมินโครงการลดคาร์บอนเครดิต (V/VB) การศึกษาและจัดหาคาร์บอนเครดิต รวมไปถึงการรับรองการผลิตพลังงานสะอาด (RECs) เพื่อขายในอนาคต
นายเจมส์ แอนดริว มอร์ กล่าวอีกว่า เป้าหมายของบริษัท ต้องการเป็นผู้นำ การถือครองคาร์บอนเครดิตในปริมาณที่สูงที่สุดในประเทศไทยและในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกลยุทธ์ในการจัดหา Carbon Credits และ RECs จะเน้นไปที่แหล่งผลิตพลังงานหมุนเวียนในประเทศเวียดนาม ซึ่งตามบัญชี Evident ของ IRECs จากข้อมูลในปี 2565 แจ้งว่าเวียดนามมีการขึ้นทะเบียน RECs ทั้งหมด 5.74 ล้าน RECs โดย WAVE BCG ได้มีการถือครองอยู่ที่ 1.38 ล้าน RECs เท่ากับมีสัดส่วน Market share ถึง 23% ของ RECs ในเวียดนาม ภายในปี 66 คาดว่าการถือครอง Carbon Credits/ RECs จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านตันคาร์บอน และภายในปี 67 เพิ่มขึ้นเป็น 4.33 ล้านตันคาร์บอน
ขณะที่ปริมาณการซื้อขาย Carbon Credits/ RECs มีดีมานความต้องการของตลาดในประเทศไทย สูงถึง 100 ล้านตันต่อปี แต่มีการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ อบก. เพียง 7 ล้านตัน ซึ่งตลาดภาคสมัครใจ หรือ Voluntary Markets มีแนวโน้มเติบโต 15 เท่าในปี 73 และ 100 เท่าในปี 93 ส่วนตลาดภาคบังคับ หรือ Compliance Market ตามตัวเลขของสหภาพยุโรป หรือ EU มีปริมาณการซื้อขาย Carbon Credits/ RECs สูงถึง 36% ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีการปล่อยออกมา เมื่อเทียบกับประเทศไทยมีปริมาณการซื้อขายเพียง 0.3% จึงมีโอกาสเติบโตได้สูงได้อีกมาก
โดยปัจจุบันราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตปรับตัวขึ้นสูงถึง 410% จากปี 61 อยู่ที่ 21 บาท/ตัน และในปี 65 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 107 บาท/ตัน ปัจจุบันราคาซื้อขายอยู่ที่ 50-150 บาท/ตัน ส่วนราคาในตลาดโลกซื้อขายกันที่ 18-70 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดว่าในปี 75 มีแนวโน้มปรับขึ้นมา 80-150 เหรียญสหรัฐ/ตัน ตามความต้องการที่สูงขึ้น ซึ่งความแตกต่างของราคาขึ้นอยู่กับประเภท และแหล่งที่มาของ Carbon Credits และ RECs
สำหรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่ม WAVE ในปี 66 แบ่งออกเป็น 3 ธุรกิจ ประกอบด้วย 1.ธุรกิจให้บริการด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจร ซึ่งดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัท WAVE BCG คาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 150-200 ล้านบาท 2.ธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาวอลล์สตรีท (Wallstreet) ซึ่งในปีนี้จะยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับกลุ่ม WAVE ปัจจุบันมีจำนวน 14 สาขา และมีแผนที่เปิดจะเพิ่มอีก 2 สาขาในปีนี้ ซึ่งจะสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 500-550 ล้านบาท และ 3.ธุรกิจด้านสุขภาพและกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัท WAVE Wellbing คาดว่าปีนี้มีรายได้ประมาณ 150 ล้านบาท
“ภาพรวมผลการดำเนินงานปีนี้ รายได้หลักยังจะมาจาก วอลล์สตรีท เราวางเป้าไว้ว่าจะทำให้ WAVE สามารถเทิร์นอะราวด์ได้ แต่กำไรจะไม่เยอะมาก เพราะบริษัทยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อลงทุนสำหรับอนาคต ส่วนรายได้จากธุรกิจ Carbon Credit ช่วงแรกไม่หวือหวา ประมาณ 150-200 ล้านบาท แต่อนาคตจะเติบโตสูงตามเทรนด์โลก ที่ต้องการลดปริมาณคาร์บอนฯ เป็นธุรกิจที่บริษัทใช้เวลาศึกษามานานพอสมควร จึงมั่นใจในอนาคตจะสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน ให้กับ WAVE” นายเจมส์ แอนดริว มอร์ กล่าว