พาราสาวะถี
พอจะเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมลูกพรรคภูมิใจไทยของ อนุทิน ชาญวีรกูล ถึงเรียกร้องให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยุบสภา
พอจะเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมลูกพรรคภูมิใจไทยของ อนุทิน ชาญวีรกูล ถึงเรียกร้องให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยุบสภา เพราะจะได้ขึ้นเวทีปราศรัยแบบจัดเต็ม โจมตีได้แบบสบายใจ ไม่ใช่ต้องให้หัวหน้าพรรคคอยมาตามไล่ขอโทษหากยังร่วมรัฐบาลกันอยู่อย่างนี้ ที่น่าตลกเหมือนเป็นเดจาวูทางการเมืองก็คือ คำพูดของเสี่ยหนูที่บอกว่าขอโทษท่านผู้นำ เนื่องจากลูกพรรคขึ้นเวทีปราศรัยเลยเกิดความพลั้งเผลอเพราะ “กลอนพาไป” มันคุ้น ๆ เหมือนสมัยอาจารย์ใหญ่ของพรรคนี้เคยกร้าวบนเวทีว่าจะกระโดดเตะก้านคอ บรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยผู้ล่วงลับ คำแก้ตัวนี้มาพิมพ์เดียวกันเป๊ะ
เรียกได้ว่าอาจารย์ใหญ่สอนมาดี นี่แหละวิชาการเมืองที่นักเลือกตั้งอาชีพเท่านั้นจะทำกันแบบเนียนตา ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองเต็มตัว ยังต้องเรียนรู้เรื่องการสะกดข่มอารมณ์ที่เดือดปุด ๆ เก็บอาการกันอย่างไร ความจริงเรื่องแบบนี้สอนกันไม่อยาก คนที่จับมือกันตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติอย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ น่าจะต้องถ่ายทอดวิชาให้ท่านผู้นำเยอะ ๆ เว้นเสียแต่จะไม่กล้าเพราะรู้ดีว่าไม่ฟังใคร รับไม่ได้กับเสียงวิจารณ์นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม วลีทองจากการปราศรัยของ ศุภชัย ใจสมุทร ที่บ่อนไก่ “ขายความสงบจบที่ลุงตู่ไม่ได้แล้ว” ถือเป็นเรื่องจริงที่ได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วตลอดระยะเวลากว่า 8 ปี แต่ก็คงจะมีคนย้อนถามกลับไปยังบังซุปและเสี่ยหนูว่า รู้ทั้งรู้วาทกรรมดังกล่าวเป็นเรื่องลวงโลก แล้วทนอยู่กันมาได้อย่างไรจนจะครบวาระกันอยู่รอมร่อ ความจริงควรจะรู้สึกรู้สาตั้งแต่ถูกกล่าวหาโจมตีว่าไปอุ้มสมเผด็จการและสนับสนุนขบวนการสืบทอดอำนาจแล้ว พอใกล้จะเลือกตั้งเพิ่งมาสำเหนียกแบบนี้ไม่รู้ว่าจะซื้อใจคนมีสิทธิหย่อนบัตรได้หรือไม่
กล่าวสำหรับพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่บอกว่ามีเทพเทือกร่วมจัดตั้งกันนั้น อาจดูว่าเป็นการกล่าวหาคนที่ประกาศว่าพอแล้วไม่เอาแล้ว ไม่สุงสิงทางการเมืองแน่นอนหลังจากจบภารกิจปิดเมืองนำม็อบนกหวีดล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และโบกมือให้เผด็จการคสช.มาครองบ้านครองเมืองสำเร็จ ความจริงก็คือ เป็นการวางมือเพื่อรักษาภาพไม่ให้เสียสัจจะที่ได้ลั่นวาจาไว้เท่านั้น หากแต่การก่อกำเนิดและอยู่ร่วมรัฐบาลของพรรครวมพลังประชาชาติไทย ก่อนที่จะตัดเหลือชื่อรวมพลังนั้น มันก็มาจากการริเริ่ม ผลักดัน จนกระทั่งได้มีคนของพรรคเป็นรัฐมนตรีโดยน้ำมือของเทพเทือกทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติปัจจุบัน เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ก็มาจากพรรครวมพลัง เป็นลูกติดภรรยาของสุเทพและมีบทบาทสำคัญกับม็อบนกหวีดเช่นกัน แม้ในระยะเริ่มแรกจนกระทั่งปัจจุบันจะมีการให้ข่าวว่าบ้านใหญ่สุราษฎร์ธานีไม่สังฆกรรมกับพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ก็แค่เกมลับ ลวง พรางที่ตื้นเขินเท่านั้น นาทีนี้เป็นที่รู้กันในแวดวงนักเลือกตั้งแล้วว่าผู้บัญชาการเกมภายในพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่แท้จริงนั้นคือใคร
เห็นได้จากการวางตัวคนที่เป็นประธานหรือหัวหน้ากลุ่มคุมผู้สมัครส.ส.แต่ละภาค การมีชื่อ วิทยา แก้วภราดัย ดูแลภาคอีสานมันก็เหมือนเป็นการตบหน้า เสกสกล อัตถาวงศ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นมือไม้ หนังหน้าไฟที่คอยรับทุกเรื่องที่ถูกโจมตีแทนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ พอถึงเวลาออกรบสู้ศึกเลือกตั้งกลับไม่ได้รับความไว้วางใจให้มีบทบาทสำคัญ ซึ่งการวางตัวลักษณะนี้ถามว่าเป็นแผนการ และการตัดสินใจของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างนั้นหรือ
ทิศทางการขับเคลื่อนแบบนี้ไม่ต่างไปจากพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ส่ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลที่ไปตั้งกันในค่ายทหาร คนที่ไม่ออกหน้าเพื่อสร้างภาพรักษาสัจจะคือผู้คุมเกมทั้งหมด ส่วนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ทำหน้าที่ขายความเป็นคนดี คนเก่ง ผู้ที่รักษาความสงบให้บ้านเมืองได้แค่นั้น นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตั้งแต่การเปิดตัวที่ศูนย์การประชุมสิริกิติ์มาจนถึงทุกวันนี้ไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่คิด
บรรดาส.ส.ที่เคยไปหว่านล้อมไว้ พอเห็นกระบวนการบริหารจัดการภายในแล้วพากันถอยกรูดเป็นแถว มองเห็นไปถึงหลังการเลือกตั้งหากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้กลับมาเป็นนายกฯอีกกระทอกจริง เก้าอี้รัฐมนตรีนั้นสามารถชี้ตัวได้เลยว่าใครจะได้รับการปูนบำเหน็จ พวกที่ทิ้งพรรคเก่าไปเข้าร่วมก็แค่ไม่ประดับรอรับแค่เศษเนื้อข้างเขียงเท่านั้น ปัญหาเช่นนี้คนที่รู้ดีที่สุดคือ สุชาติ ชมกลิ่น ที่เวลานี้ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สวนทางกับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.อย่างสิ้นเชิง หลังจากชัดเจนแล้วว่าสร้างดาวคนละดวงกับน้องเล็ก เลิกแบกเสลี่ยงให้นั่งแล้ว เหมือนติดปีก ไม่ได้มีความหวังว่าจะต้องนั่งเก้าอี้นายกฯคนที่ 30 ให้ได้ แต่มองไปถึงอนาคตหลังเลือกตั้งที่อย่างน้อยก็จะได้ใช้ความเป็นหัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจในการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ รวมไปถึงการได้เดินตามแนวคิดปฏิรูปประเทศที่จับต้องได้ โดยเฉพาะเรื่องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ในวันที่เป็นกองหนุนน้องเล็กการขจัดความขัดแย้งแตกแยกเป็นแค่เรื่องโกหกที่จะใช้เป็นข้ออ้างเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ยาวแค่นั้น
ชี้ให้เห็นก่อนหน้านี้แล้วว่า วันที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตัดสินใจไปบอกลาพี่ใหญ่นั้น มันเหมือนการได้ยกภูเขาออกจากอกสำหรับคนที่กำลังใช้ใจบันดาลแรง เพราะเป็นช่วงเวลาที่จะได้แสดงศักยภาพในทางการเมืองของตัวเองอย่างเต็มที่ การดึงคนที่น้องเล็กไม่ชอบขี้หน้ากลับมาร่วมชายคาพรรคก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่าที่ผ่านมาการทำงานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นอย่างไร กลายเป็นว่าถนนทางการเมืองสำหรับสองพี่น้อง ณ ปัจจุบันเหมือนอยู่คนละโลก
พรรคของน้องเล็กทำท่าว่าจะรุ่งด้วยพลังแห่งอำนาจ และกลไกของขบวนการสืบทอดอำนาจที่ได้วางไว้ จึงเชื่อว่าจะดึงดูดคนให้มาร่วมงานได้จำนวนมากกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด ผิดกับพี่ใหญ่ที่นับวันมีคนแสดงความประสงค์จะเข้าเป็นสมาชิกพรรคต่อเนื่อง เท่ากับเป็นการอ่านเกมทางการเมืองหลังเลือกตั้งแล้วว่าอนาคตของใครดูดีกว่า บอกแล้วว่านักการเมืองที่ถูกตราหน้าว่าชั่วว่าเลวนั้น ไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าใครคบได้ใครคบยาก