พาราสาวะถี

ผ่านพ้นวันที่ 7 กุมภาพันธ์มาแล้ว ไร้วี่แววว่าจะมี ส.ส.ลาออกกันชุดใหญ่เพื่อไปสังกัดพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง


ผ่านพ้นวันที่ 7 กุมภาพันธ์มาแล้ว ไร้วี่แววว่าจะมี ส.ส.ลาออกกันชุดใหญ่เพื่อไปสังกัดพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง โดยเฉพาะรวมไทยสร้างชาติของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เพื่อให้ครบกรอบสังกัดพรรคไม่น้อยกว่า 90 วันจนถึงวันเลือกตั้งหากสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลอยู่ครบวาระ นั่นหมายความว่า ทันทีทันใดที่ กกต.ประกาศแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 เขตเสร็จสรรพ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อย จะเป็นการเข้าสู่โหมดนับถอยหลังยุบสภาในทันที

จากราชาฤกษ์ 14 กุมภาพันธ์ทั้งติดเงื่อนไข กกต.แบ่งเขตไม่ได้ และความไม่พร้อมในการเตรียมผู้สมัครของพรรคผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ จึงขยับออกไปตามที่คาดหมายกันว่าน่าจะเป็นต้นเดือนมีนาคม รวมไทยสร้างชาติก็ยังหาตัวผู้สมัคร ส.ส.เขตได้ไม่เข้าเป้าตามต้องการ จึงต้องทอดระยะเวลาออกไปอีกซึ่งไม่น่าเกินกลางเดือนมีนาคมนี้ ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ก็ต้องยุบเพื่อไปวัดกันในสนามเลือกตั้ง ขืนยื้อยุดกันไปจนครบวาระพวกเสือหิวที่คุยกันก็จะไม่ได้ย้ายคอกและหมดสิทธิ์ลงสมัครทันที

อย่างไรก็ตาม ต้องคอยดูการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 ที่จะมีขึ้นวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ ซึ่งก็คือสัปดาห์หน้านี้แล้ว ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะขอใช้เวทีดังว่ายืนแลกหมัดกับฝ่ายค้านแบบใครดีใครอยู่ หรือจะถูกพรรคร่วมรัฐบาลเล่นเกมองค์ประชุมล่มเพื่อหนีซักฟอก แม้ฝ่ายค้านขู่จะไปเปิดปราศรัยนอกสภา ก็ยังดีกว่าการอภิปรายที่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง อย่างน้อยการกล่าวหา โจมตีถ้าไม่มีพยาน หลักฐาน สามารถเอาผิดและอาจจะส่งไปถึงพรรคการเมืองต้นสังกัดได้

เห็นปรากฏการณ์ประชุมรัฐสภาล่มที่มี ส.ว.ลากตั้งถึง 95 คนลาประชุมในคราวเดียวกัน เพื่อไม่ให้มีการเปิดประชุมพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านที่ชงปิดสวิตช์ ส.ว.แล้ว พอจะเดากันได้ไม่ยากซักฟอกตาม ม.152 จะได้ไปต่อกันหรือไม่ รวมไปถึงอาการของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่บอกว่า “ไม่มีปัญญาจะไปจับใครมัดขามาให้ร่วมประชุมเป็นองค์ประชุมในสภาได้” มันก็สะท้อนภาพการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลว่าทางใครทางมัน มุ่งมั่นที่จะไปสู่โหมดการเลือกตั้งกันแล้ว

ถึงตอนนี้ความเคลื่อนไหวว่าด้วยการย้ายพรรคและเข้าสังกัดพรรคใหม่ คึกคักมากกว่าใครกลับเป็นพรรคสืบทอดอำนาจ มีดีอะไรคนถึงหลั่งไหลไปซบพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.แทนที่จะไปอยู่กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์ใหญ่ของรวมไทยสร้างชาติ และมีจุดขายฝันว่าจะได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกอย่างน้อย 2 ปี ตรงนี้น่าสนใจ เหมือนอย่างที่ย้ำไว้ตลอด เพราะนักเลือกตั้งมองเข้าไปภายในพรรคดังว่าแล้ว เห็นเงาทะมึนที่ยืนเบื้องหลังท่านผู้นำแล้วขนลุกขนพองกันทั้งนั้น

การเข้าไปร่วมงานสำหรับตัวเต็งว่าจะได้รับเลือกเป็น ส.ส. คาดเดาอนาคตกันได้เลยว่าถ้ามีโอกาสเป็นรัฐบาลก็จะเป็นเพียงแค่นั่งร้านหรือคนแบกเสลี่ยงให้เขาอยู่ยาวได้ไปต่อสมใจอยากเท่านั้น ส่วนเก้าอี้เสนาบดีทั้งหลาย มีการจับจองไว้หมดแล้ว โดยเฉพาะที่กระทรวงคมนาคม แบ็คอัพใหญ่ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมองตาเป็นมัน หลังจากที่ตอนเป็นมือจัดการรัฐบาลในค่ายทหารก็ต้องยอมอย่างไร้เงื่อนไขกับพรรคภูมิใจไทยของอาจารย์ใหญ่อย่างไม่เต็มใจมาแล้ว

ส่วนเรื่องโพลภายในที่ถูกจุดพลุมาว่าพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะได้ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 70 ที่นั่ง ต้องไปถามว่าใช้หน่วยงานไหนไปสำรวจความนิยมมา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงป่านนี้ก็ยุบสภา ทุ่มทุนโฆษณาหาเสียง เปิดนโยบายกันให้อึกทึกครึกโครมไปแล้ว นับตั้งแต่เปิดตัวเข้าพรรคเมื่อ 9 มกราคมที่ผ่านมา จนถึงวันนี้พวกที่เข้าไปเป็นแกนนำกำหนดยุทธศาสตร์ร่วมกับท่านผู้นำ ยังกุมขมับกันเป็นแถว จากที่เคยตกลงกันไว้ เกิดการเบี้ยวกันเสียส่วนใหญ่ เนื่องจากกระแสในพื้นที่ไม่มีโอกาสที่จะเข้าวิน

ปัญหาของพรรคผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ก็ไม่ต่างจากประชาธิปัตย์ แม้จะมี ส.ส.ในปัจจุบันยืนพื้นในจำนวนที่ดูดีกว่ารวมไทยสร้างชาติ แต่ในจำนวนเหล่านั้นจะมีส่วนหนึ่งหรือส่วนมากเสียด้วยซ้ำไปที่จะกลายเป็น ส.ส.สอบตก ยิ่งเห็นการเปิดตัวคนที่เข้ามาร่วมงาน บางรายโชว์โปรไฟล์ว่าเป็นอดีต ส.ส.หลายสมัย ทว่าเป็นคนที่ตกยุคหรือโลกลืมไปแล้ว มิหนำซ้ำ ยังมีเป้าหมายฐานเสียงเดียวกันกับพรรคร่วมรัฐบาลเวลานี้ ไม่นับรวมพรรคฝ่ายค้าน จึงมองเห็นเส้นทางที่จะเข้าสู่สภาของผู้สมัครทั้งสองพรรคยากเย็นแสนสาหัส

เมื่อพิจารณาไปยังกลุ่มนิวโหวตเตอร์ และคนรุ่นใหม่ที่เคยใช้สิทธิเลือกตั้งแล้ว ทั้งพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและเครือข่ายในปัจจุบัน แทบจะตีเป็นศูนย์ได้เลยว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีคะแนนให้ ขณะที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ จำนวนไม่น้อยได้ตัดสินใจไว้แล้วจากการพิจารณาผลงานกว่า 8 ปีที่ผ่านมา ย่อมรู้กันดีแก่ใจ ประชาชนส่วนใหญ่ ต้องการเปลี่ยนแปลงหรือให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น หรือใช้ชีวิตซังกะตายแบบนี้ต่อไป

อาการทางการเมืองของพวกที่ได้ชื่อว่าเขี้ยวลากดิน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยให้อ่านทิศทางหลังเลือกตั้งได้ว่าแนวโน้มจะไปทางไหน ดูจากกลุ่มสามมิตรของพรรคสืบทอดอำนาจ แกนนำหนึ่งรายเลือกย้ายไปอยู่กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ส่วนอีกสองอยู่สู้ต่อกับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ไม่ได้จบแค่นั้น ปรากฏว่า ส.ส.และอดีต ส.ส.เด็กในคาถาของแกนนำคนสำคัญอย่าง สมศักดิ์ เทพสุทิน กลับทิ้งลูกพี่ไปสังกัดพรรคเพื่อไทยทั้งหมด เหลือเพียง พรรณศิริ กุลนาถศิริ น้องสาวของสมศักดิ์คนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่กับพรรคเดิม

นั่นหมายความว่า การเมืองหลังเลือกตั้งหากไม่มีปาฏิหาริย์หรือการใช้เล่ห์กลทางกฎหมายใด ๆ ยังไงก็หนีไม่พ้นการเปลี่ยนขั้ว การเดินเกมเดิมพันสูงด้วยการส่ง แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของนายใหญ่มาลุยสนามการเมืองเต็มตัวนั้น ไม่ใช่เรื่องการถูกหลอกซ้ำซากเหมือนคราวกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยอย่างแน่นอน ทุกอย่างผ่านกระบวนการประเมิน วิเคราะห์ จนตกผลึก ที่สำคัญคือการเจรจา ตกลงจนเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นมั่นเหมาะกันเรียบร้อยแล้ว การเมืองเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนมักจะเปลี่ยนแบบฉับพลันทันทีจนคนที่ถูกอุ้มชูและหลงคิดว่าตัวเองเป็นสุดยอดคน เหนือคนทั้งปวงแล้ว คาดไม่ถึงรับไม่ได้กันทีเดียว

Back to top button