ทริสเรทติ้ง คงเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ของ TTW ที่ “AA-/Stable”
ทริสเรทติ้ง คงเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ของ TTW ที่ "AA-/Stable"
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW ที่ระดับ “AA-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่”
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นผู้ให้บริการน้ำประปาเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตลอดจนความสม่ำเสมอของอุปสงค์น้ำประปา กระแสเงินสดที่แน่นอนจากสัญญาขายน้ำขั้นต่ำระยะยาว และลักษณะของธุรกิจน้ำประปาที่มีความเสี่ยงในการดำเนินงานในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทมีภาระหนี้จำนวนมากและความเสี่ยงจากการมีการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เป็นลูกค้าหลักเพียงรายเดียว
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานภาพในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งและคงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเอาไว้ได้ อันดับเครดิตของบริษัทมีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงในระยะกลางเนื่องจากการดำเนินงานที่คงตัวและโอกาสที่จำกัดในการขยายธุรกิจ ทั้งนี้ คุณภาพเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในเชิงลบหากบริษัทมีการลงทุนโดยการก่อหนี้เพิ่มจนส่งผลกระทบในด้านลบต่อโครงสร้างเงินทุนและฐานะทางการเงินของบริษัท
ณ เดือนสิงหาคม 2558 TTW มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประกอบด้วย บริษัท มิตซุย วอเตอร์ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (25.98%), บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ(BECL) (19.57%) และ บมจ.ช. การช่าง(CK) (19.04%) ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ให้บริการน้ำประปาเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยกำลังการผลิตทั้งสิ้น 876,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน และให้บริการบำบัดน้ำเสียซึ่งมีกำลังการบำบัด 18,000 ลบ.ม. ต่อวัน นอกจากนี้ บริษัทยังถือหุ้นในสัดส่วน 25.31% ใน บมจ.ซี. เค. พาวเวอร์(CKP) ด้วย โดย CKP ถือหุ้น 56% ใน บริษัท เซาท์อีส เอเซีย เอนเนอร์จี จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังน้ำในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 615 เมกะวัตต์
บริษัทดำเนินงานโรงผลิตน้ำประปา 3 โรงซึ่งให้บริการน้ำประปาในพื้นที่ 3 เขต คือเขตพื้นที่จังหวัดนครปฐม-สมุทรสาคร เขตพื้นที่จังหวัดปทุมธานี และเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน บริษัทให้บริการน้ำประปาแก่ กปภ. ภายใต้สัญญาซื้อขายน้ำประปาอายุ 25 ปีซึ่งจะหมดสัญญาในปี 2566 และสัญญาอายุ 30 ปีซึ่งจะหมดสัญญาในปี 2577 กปภ. มีพันธะในการรับซื้อน้ำประปาจากบริษัทในปริมาณขั้นต่ำจำนวน 684,000 ลบ.ม. ต่อวัน ทั้งนี้ สูตรการคำนวณอัตราค่าน้ำจะเป็นไปตามดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index — CPI) นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับสิทธิในการดำเนินการผลิต จำหน่าย และให้บริการน้ำประปา รวมทั้งให้บริการบำบัดน้ำเสียในเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินระยะเวลา 30 ปีด้วย โดยสิทธิดังกล่าวจะหมดอายุในปี 2582 บริษัทมีรายได้หลักจากเขตพื้นที่จังหวัดนครปฐม-สมุทรสาครและเขตพื้นที่จังหวัดปทุมธานี โดยมีสัดส่วน 64% และ 31% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2557 ตามลำดับ
ฐานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทได้รับแรงหนุนจากการมีความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำและการที่ผู้ประกอบการต้องใช้เงินลงทุนสูงในกรณีที่ต้องสร้างโครงข่ายระบบส่งและจ่ายน้ำประปา บริษัทเป็นเจ้าของท่อน้ำประธานและท่อจ่ายน้ำในพื้นที่ให้บริการบางส่วนซึ่งเป็นอุปสรรคต่อผู้ต้องการเข้ามาเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ในพื้นที่ดังกล่าว อย่างไรก็ดี โอกาสการขยายธุรกิจในพื้นที่บริการใหม่ ๆ ของบริษัทมีจำกัดเนื่องจาก กปภ. ไม่มีนโยบายในการให้สัมปทานใหม่ อีกทั้งแหล่งน้ำดิบก็เป็นข้อจำกัดอีกประการหนึ่งด้วยเช่นกัน
บริษัทมีความเสี่ยงจากการมี กปภ. เป็นลูกค้ารายใหญ่เพียงรายเดียวด้วย โดยในระยะ 10 ปีที่ผ่านมารายได้ของบริษัทมาจาก กปภ. กว่า 95% กระนั้น สถานะความน่าเชื่อถือของ กปภ. ก็อยู่ในระดับที่รับได้เนื่องจากมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ นอกจากจะเป็นลูกค้าหลักแล้ว กปภ. ยังเป็นคู่แข่งของบริษัทอีกด้วย โดยหาก กปภ. สร้างโรงกรองน้ำประปาแห่งใหม่และจ่ายน้ำในพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ที่บริษัทให้บริการก็จะส่งผลกระทบทำให้ยอดจำหน่ายน้ำของบริษัทลดลง
ทั้งนี้ ยอดจำหน่ายน้ำในพื้นที่ปทุมธานีของบริษัทไม่เติบโตในปี 2556 และลดลง 2.6% ในปี 2557 เนื่องจากมีการเพิ่มกำลังการผลิตของโรงกรองน้ำแห่งใหม่ของ กปภ. ในพื้นที่ดังกล่าว อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงดังกล่าวมีปัจจัยลดลงจากการที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายน้ำประปาขั้นต่ำกับ กปภ.
บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเนื่องจากการมีโครงสร้างสัญญาซื้อขายน้ำที่ดีกับ กปภ. อีกทั้งยังมีอุปสงค์น้ำที่สม่ำเสมอและมีกระแสเงินสดที่ดี ในปี 2557 บริษัทมีรายได้ 5,383 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% จากปีก่อน ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มราคาน้ำประปา ทั้งนี้ เนื่องจากปริมาณขายน้ำประปาไม่เติบโตอันเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนตัวและการมีโรงกรองน้ำแห่งใหม่ของ กปภ. ในพื้นที่ปทุมธานี สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมียอดจำหน่ายน้ำลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยบริษัทมีรายได้ 4,089 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทน่าจะทรงตัวในปี 2558-2559 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและดัชนีราคาผู้บริโภคที่ติดลบในปี 2558 ซึ่งจะมีผลกระทบต่อราคาค่าน้ำในปี 2559 หลังจากนั้นคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นปีละ 2%-4% ในปี 2560-2561 จากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของชุมชน อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทจะดำรงความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยคาดหมายว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 77%
โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนตัวลง โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจาก 52.2% ในปี 2557 มาอยู่ที่ 57.8% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 จากการที่บริษัทออกหุ้นกู้มูลค่า 1,400 ล้านบาท เพื่อใช้เพิ่มทุนใน บริษัท ซี. เค. พาวเวอร์ เมื่อไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 และใช้ลงทุนตามแผนเพื่อขยายกำลังการผลิตในเขตพื้นที่บริการจังหวัดสมุทรสาครและปทุมธานี อย่างไรก็ตาม บริษัทมีสภาพคล่องที่ดีโดยมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 25.4% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีโดยใช้ข้อมูล 12 เดือนย้อนหลัง) และมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อดอกเบี้ยจ่าย 8 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558
ในปี 2558-2561 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 3,200-3,500 ล้านบาทต่อปีโดยได้รวมการพิจารณาเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่บริษัทใช้หมดไปในไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 ด้วย เงินทุนจากการดำเนินงานจะสนับสนุนนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงและโครงการลงทุนของบริษัทบางส่วน โดยคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลที่ประมาณ 2,400-2,600 ล้านบาทต่อปี และในช่วง12-24 เดือนข้างหน้าบริษัทต้องลงทุนในโครงการต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและจ่ายน้ำประปาในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและปทุมธานีรวมประมาณ 2,300 ล้านบาท จึงคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มสูงสุดในปี 2558 หลังจากนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 52%-55% ในช่วงปี 2559-2561
บริษัทยังคงมีสภาพคล่องที่ดี โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทมีเงินสดอยู่จำนวน 4,899 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมเงินจำนวน 1,446 ล้านบาทที่ต้องสำรองไว้ตามเงื่อนไขของสัญญาสัมปทานที่ได้รับจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ บริษัทยังถือหุ้น 25.31% ในบริษัท ซี. เค. พาวเวอร์ ซึ่งมีมูลค่า 4,589 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 ด้วย