พาราสาวะถี
หากพิจารณาจากเนื้อหาที่ฝ่ายค้านนำมาซักฟอกแล้ว ต้องยอมรับว่าหลายเรื่องนำมาซึ่งความเคลือบแคลงของประชาชน โดยเฉพาะกรณีทุนจีนสีเทาและ ส.ว.สีเทา
การอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 จบลงไปแล้ว แม้อาจจะไม่ดุเดือดเลือดสาดจอ แต่หากพิจารณาจากเนื้อหาที่ฝ่ายค้านนำมาซักฟอกแล้ว ต้องยอมรับว่าหลายเรื่องนำมาซึ่งความเคลือบแคลงของประชาชน โดยเฉพาะกรณีทุนจีนสีเทาและ ส.ว.สีเทา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด ล้มเหลวในการบริหารงานและการตัดสินใจของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจโดยเฉพาะ อย่าลืมว่าทั้งสองกรณีล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อำนาจบริหาร บังคับบัญชาของท่านผู้นำทั้งสิ้น
การจี้ให้เห็นเรื่องทุจริตที่ลุกลามไปทั่ว มิหนำซ้ำ ยังดูว่าน่าจะหนักหนาสาหัสกว่าการเมืองในระบอบประชาธิปไตยปกติที่นักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวบริหารเสียอีก คำพูดที่หลุดมาจากปากของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจประเด็นที่ว่า เรื่องเลวทรามทั้งหลายที่สังคมให้ความสนใจในเวลานี้รัฐบาลก่อนหน้านั้นทุกยุคทุกสมัยก็เคยมี คำถามตัวโตก็คือ แล้วที่รัฐบาลนี้ประกาศปาว ๆ ทำสงครามกับการคอร์รัปชัน มีรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แล้วยังปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร
การบอกว่าเมื่อก่อนก็มีแบบนี้มันก็คือการสารภาพ ยอมรับความจริงว่าเรื่องที่ฝ่ายค้านกล่าวหา นำมาตั้งเป็นคำถามนั้นมีอยู่จริง การโยนให้ทุกอย่างว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรมมันก็คือการปัดความรับผิดชอบ ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะที่เป็นผู้แต่งตั้ง ส.ว.มากับมือ จะไม่รู้สึกรู้สามีสำเหนียกแห่งความรับผิดชอบใด ๆ เลยหรือ ไม่กล้าที่จะแสดงสปิริตก็แค่กล่าวคำขอโทษก็ยังดี การอ้างกระบวนการยุติธรรม อ้างข้อกฎหมายเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ทุกอย่างจะปัดสวะให้พ้นตัวทั้งหมดไม่น่าจะถูกต้อง
ข้อมูลทุนจีนสีเทารวมไปถึงเรื่อง ส.ว.สีเทา ที่ รังสิมันต์ โรม ยกขึ้นมาอภิปราย จนกระทั่งถูกฟ้องร้องดำเนินคดีตามมานั้น มันน่าสนใจว่าในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศ เป็นคนที่ตั้ง ส.ว.มากับมือ หากพบว่าคน ๆ นั้นมีความเกี่ยวข้องขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติและอาชญากรรมระหว่างประเทศ เช่นนี้แล้วใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเรื่องของการไปใช้สถานที่ของ สว.รายดังว่าเป็นที่ตั้งพรรคของตัวเองอีกต่างหาก เช่นนี้แล้วมันจะไม่ให้คนส่วนใหญ่เคลือบแคลงได้อย่างไร
หรือความไม่รู้สึกรู้สาเรื่องแบบนี้ เพราะเห็นเป็นเรื่องปกติแล้วจากการที่หลานของตัวเองไปใช้ค่ายทหารเป็นที่ตั้งบริษัท แล้วก็หากินกับงบประมาณของกองทัพมาโดยตลอด จนกระทั่งมีข่าวพัวพันกับทุนจีนสีเทาก็ยังเสียงแข็งว่า เรื่องของคนอื่นตนไม่เข้าไปยุ่ง เป็นเรื่องส่วนตัว ทั้งที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนในตระกูลของตัวเองโดยตรง แบบนี้แล้วพวกกองเชียร์ไม่ลืมหูลืมตา ไม่ละอายใจบ้างหรือ ที่ให้ร้ายป้ายสีคนบางตระกูลมาโดยตลอด แต่พอตระกูลของคนที่อุปโลกน์กันว่าเป็นคนดี มีพฤติกรรมน่ารังเกียจแบบนี้กลับเงียบเป็นเป่าสาก
ไม่ว่าภาพของการซักฟอกตามมาตรา 152 จะออกมาอย่างไร แต่สิ่งที่สัมผัสได้จากเวทีอภิปรายหนนี้ก็คือ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเหมือนต่อสู้ ต่อปากต่อคำกับนักการเมืองในสภาแบบโดดเดี่ยว ไม่มีองครักษ์พิทักษ์เหมือนที่ผ่านมา บรรดารัฐมนตรี หรือ ส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาล แม้แต่พรรคสืบทอดอำนาจเองก็ดูจะไม่แยแสเหมือนที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะเห็นว่าสามารถชี้แจงเองได้ แต่นี่คือการแยกกันเดินอย่างชัดเจน และประเด็นที่เกิดขึ้นในสภาหนนี้ ส่วนที่เป็นด้านลบก็จะถูกนำไปเป็นเครื่องมือในการหาเสียงเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นด้วย
ขณะที่การยุบสภาเอ่ยมาจากปากของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแล้วว่าจะเกิดขึ้นก่อนวันที่ 23 มีนาคม อันเป็นวันครบวาระของสภาและรัฐบาล คนก็เล็งไปที่ 21 มีนาคมซึ่งเป็นวันเกิดของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่ไม่ว่าจะเป็นวันไหนก็คือยุบแน่ เพื่อให้บรรดาพวกจะเปลี่ยนสีเสื้อย้ายคอก สามารถสังกัดพรรคได้ทันกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด อย่างที่บอก หากอยู่ให้ครบวาระพรรคที่จะมีปัญหาก็คือรวมไทยสร้างชาติของท่านผู้นำนั่นเอง
เมื่อสแกนไปยังสมาชิกและบรรดาว่าที่ผู้สมัครที่มีอยู่เวลานี้ ไม่มีทางที่จะได้ ส.ส. 25 คนเป็นแน่ จึงต้องรอจังหวะยุบสภาเพื่อที่จะได้กวาดต้อนพวกที่เจรจารอการตกผลึกและยื่นข้อเสนอขั้นสุดท้าย ขณะเดียวกัน ก็มีประเด็นที่น่าสนใจจากการที่ กกต.ได้มีการแก้ระเบียบใหม่เกี่ยวกับการยุบพรรค เพราะมันเข้าเค้ากับข่าวที่ถูกพูดถึงกันมาโดยตลอด หลังยุบสภาไปแล้วอาจจะได้เห็นการร้องเรียนและนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองที่เป็นขวากหนามสำคัญของขบวนการอยู่ยาว
ระเบียบใหม่ที่ออกมานั้นก็คือ ระเบียบว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2566 มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกระเบียบเก่าปี 2564 พรรคไหนถูกร้องหรือพบว่าทำผิดมาตรา 92 ของกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองคือ ล้มล้างการปกครอง เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย แสวงหากำไร ยอมให้คนนอกครอบงำ รับบริจาคจากบุคคลเพื่อบ่อนทำลายความมั่นคง สนับสนุนคุกคามความสงบเรียบร้อย เรียกรับเพื่อให้ได้ตำแหน่งทางการเมือง รับเงินจากแหล่งมิชอบด้วยกฎหมาย รับเงินจากคนไม่มีสัญชาติไทย ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อรับหรือไม่รับเรื่องใน 7 วัน
การรวบรวมข้อเท็จจริงให้เสร็จภายใน 30 วัน ขอขยายเวลาได้ครั้งละ 30 วัน เมื่อเสนอ กกต.ลงมติยุบพรรค ให้ กกต. พิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วันเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค ที่เป็นข้อกังขาจากมุมของ สมชัย ศรีสุทธิยากร ในฐานะอดีต กกต.ก็คือ ระเบียบนี้ไม่ใช้กับคำร้องเก่าก่อนประกาศ ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงเรื่องที่สมชัยไปร้องให้ยุบพรรครวมไทยสร้างชาติด้วย มันจึงถูกมองว่าน่าจะเป็นการเตรียมการทั้งเพื่อช่วยบางพรรคและใช้เล่นงานบางพรรคหรือหลายพรรคช่วงก่อนและระหว่างเลือกตั้งหรือไม่
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีประเด็นการรวมผลการนับคะแนนเลือกตั้ง ที่ให้คณะกรรมการประจำเขตเป็นผู้รวมผลการนับคะแนน และให้มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของ กกต.จังหวัดภายใน 5 วันนับแต่วันเลือกตั้งเท่านั้น อ่านแล้วแปลความหมายคือ ประชาชนจะไม่เห็นผลคะแนนใด ๆ จนกว่า กกต.จังหวัดจะประกาศในเว็บไซต์ ภายใน 5 วันหลังจากวันเลือกตั้ง ปี 2562 คนก็เกิดข้อกังขาต่อกระบวนการรายงานผลเลือกตั้งของ กกต.มาแล้ว นอกจากไม่แก้ไขแล้วยังดูท่าว่าจะแย่กว่าเดิมอีกต่างหาก อย่างที่สมชัยว่าโปร่งใสมากนะ กกต.ชุดนี้