พาราสาวะถี
พวกทำหน้าที่ปล่อยข่าวทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามผู้นำเผด็จการ ยังคงขยันโชว์โง่ ก้มหน้าก้มตาให้ร้ายป้ายสีหวังที่จะสกัดกระแสแลนด์สไลด์
พวกทำหน้าที่ปล่อยข่าวทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ยังคงขยันโชว์โง่ ก้มหน้าก้มตาให้ร้ายป้ายสีหวังที่จะสกัดกระแสแลนด์สไลด์กันอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดไปเอาภาพเวทีปราศรัยของพรรคเพื่อไทยที่ยังไม่ถึงเวลาแกนนำขึ้นเวที มาโพสต์ผ่านโซเชียลต้มพวกหลับหูหลับตาเชียร์ว่า กระแสของคู่แข่งแผ่วไม่มีคนมาฟังปราศรัย ถ้าไม่มืดบอดด้านสติปัญญาจริง ๆ ทำแบบนี้ไม่ได้ หนักไปกว่านั้นคือ คนที่จ่ายเงินจ้างให้ไปทำปฏิบัติการข่าวสารรู้ไหมว่ากำลังใช้คนโง่ไปทำงาน
ความจริงทุกเวทีปราศรัยของพรรคเพื่อไทยนั้น มีการถ่ายทอดสดทุกที่อยู่แล้ว แม้แต่คนที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ยังอดเข้าไปดูไม่ได้ เพื่อที่จะติดตามว่ากระแสของคนที่ไปฟังปราศรัยนั้นเป็นอย่างไร อาจจะมีการจัดตั้งบ้างถือเป็นธรรมดาของทุกพรรคการเมือง แต่ไม่ใช่การให้คนมารอแล้วต้องคอยบอกจังหวะไหนจะปรบมือ จังหวะไหนจะต้องบอกรักลุง ต้องตะโกนคำว่าลุงสู้ ๆ ยิ่งทำไอโอแบบนี้มากเท่าไหร่ มันก็จะเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายกุมอำนาจ พวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งกลัวแลนด์สไลด์เป็นอย่างยิ่ง
เพราะนั่นหมายถึงว่าความเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้น ไม่มีโอกาสที่จะพลิกเกมได้อยู่ยาวตามที่อยากจะไปต่อ ขณะนี้ยังไม่เข้าสู่โหมดหาเสียงอย่างเต็มตัว ทว่าผลพวงจากการอภิปรายตามมาตรา 152 ที่ผ่านมา การรับบทหัวหมู่ทะลวงฟันของ รังสิมันต์ โรม ว่าด้วยทุนสีเทาจากจีนและพวกพ่อค้ายาจากประเทศเพื่อนบ้าน มันส่งผลสะเทือนอย่างยิ่งต่อความน่าเชื่อถือของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ โดยเฉพาะประเด็นที่ทำการพรรคที่ไปตั้งอยู่บนตึกของ ส.ว.ทรงเอที่ถูกสังคมเคลือบแคลง
ยิ่งได้เห็นอาการดิ้นของคนที่ถูกพูดถึงจะฟ้องรังสิมันต์ จนมาถึงฟ้องสองพิธีกรเล่าข่าว มันทำให้เห็นว่าการปราศรัยเที่ยวนี้ประสบผลสำเร็จในการเปิดโปง มิหนำซ้ำ ยังมี ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ มากระทุ้งรายวัน อย่าลืมว่าข้อมูลที่ ส.ส.คนดังของพรรคก้าวไกลใช้ในการอภิปรายเที่ยวนี้ก็ถูกจัดหนักจัดเต็มมาจากชูวิทย์นั่นเอง เห็นความไม่ตระหนกของรังสิมันต์ และยังมีการฟ้องพิธีกรข่าวพ่วงเข้าไปด้วย แทนที่จะเป็นการปิดปาก น่าจะได้เห็นการลากไส้กันขนานใหญ่เลยทีเดียว
พวกที่ซุกไว้ใต้พรมก่อนหน้า หลังหมดยุคอำนาจเผด็จการ คสช.ปิดปาก ยังมีกลไกจากพวกที่อยู่ในองค์กรที่จะต้องตรวจสอบพากันอุ้มสมเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่เมื่อทุกอย่างมันหนักหนาสาหัส และเริ่มมองเห็นความเปลี่ยนแปลงรออยู่ข้างหน้า สิ่งที่คิดว่าเก็บกวาดกันหมดแล้วมันจึงถูกนำมาประจานอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะชูวิทย์ที่ลุยดะตั้งแต่ตู้ห่าว จนมากรณีของดาราสาวไต้หวัน กระทั่งรายของ หยู ซิน ฉี มันก็คือการฉายภาพความอัปยศอดสู ที่มีคนในอำนาจภายใต้การปกครองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไปสุมหัวหากินกับทุนต่างชาติสีดำและสีเทา
การอ้างทุกอย่างว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ยึดหลักกฎหมาย เป็นหลักการที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจโพนทะนามาตลอดกว่า 8 ปี แต่ยังไม่เห็นการแสดงความรับผิดชอบด้านจริยธรรม คุณธรรมที่ผู้นำซึ่งอ้างว่ายึดหลักหิริโอตตัปปะ ละอายชั่วกลัวบาปได้ทำให้คนเห็นเป็นตัวอย่างแม้แต่น้อย มุ่งมั่นแต่จะอยู่ยาว สืบทอดอำนาจต่อไปให้นานแสนนาน หน้ากากคนดีถูกประจาน แต่ก็ยังสู้กับความหน้าหนาหน้าทนของคนพวกนี้ไม่ได้ ไม่ต้องถามว่าอะไรคือตัวถ่วงความเจริญของประเทศ
อ้างมารยาททางการเมืองว่าไม่ขอประกาศจับมือพรรคไหนก่อนรู้ผลเลือกตั้งเด็ดขาด ไม่ว่าหัวหน้าหรือแกนนำพรรคไหนก็จะพูดแบบนี้ แต่ความเป็นจริงคือ มีการเจรจาต่อรองกันแทบจะทุกด้าน สูตรขั้วการเมืองที่ว่าเพื่อไทย พรรคสืบทอดอำนาจและภูมิใจไทย ในทางการพูดคุยไม่ต้องบอกว่าเป็นไปได้ยากเพราะมันไปไกลมากกว่านั้นแล้ว อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขอาจจะเปลี่ยนไปตามคะแนนเสียงที่ออกมา ถ้าเพื่อไทยแลนด์สไลด์ได้มากกว่า 200 ที่นั่ง ผู้ที่จะถูกส่งเทียบเชิญเข้าร่วมขบวนการตั้งรัฐบาลน่าจะเป็นพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.มากกว่า อนุทิน ชาญวีรกูล และผองเพื่อนภูมิใจไทย
เหตุผลสำคัญคือ ต้องอาศัยคอนเนคชั่นของคนที่ใช้ใจบันดาลแรง ในการขอเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ให้มาช่วยยกมือหนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยมีพรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบันเป็นพรรคร่วมหลัก ที่ต้องเป็นเช่นนั้นเพราะตามนโยบายและแนวคิดแล้ว แม้พรรคสืบทอดอำนาจจะเคยเป็นพรรคที่สนับสนุนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมาก่อน แต่หลังการแยกกันเดินของพี่ใหญ่กับน้องเล็ก ภายในพรรคก็มีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด พร้อมที่จะจับมือกับทุกฝ่ายโดยไม่ตั้งเงื่อนไขใด ๆ
ผิดกับพรรคของเสี่ยหนู ไหนจะต้องถูกร้องขอกระทรวงสำคัญที่ตัวเองเคยกุมบังเหียนอยู่เวลานี้ ยังมีนโยบายกัญชาเสรี การไม่ร่วมสังฆกรรมกับพรรคที่เสนอแก้ไขมาตรา 112 ทั้งที่ความจริงแล้วอาจดูเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ควรจะต้องมองไปยังเนื้อหาที่มีการเสนอว่าเป็นอย่างไร เจตนาเพื่อปกป้อง เชิดชู เทิดทูนสถาบันเพื่อไม่ให้ถูกนำมาแอบอ้างเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือไม่ ที่สำคัญปมของหยู ซิน ฉี ที่แอบอ้างสถาบันโดยมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น ถามว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและลิ่วล้อที่เกี่ยวข้องทั้งหลายให้น้ำหนัก และดำเนินการกับเรื่องนี้แบบรวดเร็ว เด็ดขาดเพียงใด
ไม่ต้องลุ้นกันแล้วหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง และนัดอภิปราย ปรึกษาหารือ ลงมติกรณีที่ กกต.ยื่นขอให้วินิจฉัยปมนับรวมจำนวนราษฎรคนต่างด้าวในการคำนวณแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 3 มีนาคมนี้ นั่นหมายความว่า ถ้ามีความชัดเจนทุกอย่างก็จะเดินหน้าไปสู่การยุบสภา ซึ่งผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ประกาศแล้วว่าจะเกิดขึ้นต้นเดือนมีนาคมเช่นเดียวกัน ส่วนวันหย่อนบัตรน่าจะเป็นไปตามที่ กกต.วางกรอบไว้ก่อนหน้า 7 พฤษภาคม
สิ่งที่ต้องลุ้นกันหลังจากยุบสภาไปแล้วก็คือ จะมีการพิจารณายุบพรรคการเมืองตามมาหรือไม่ พรรคเป้าหมายคือ เพื่อไทย ก้าวไกล และพรรคสืบทอดอำนาจ ที่ควบคู่มากับข่าวนี้คือ ถ้าเป็นไปตามแผนนี้ก็จะเกิดเหตุวุ่นวายจนเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองอีกกระทอกเพื่อล้างบางทุกสิ่งทุกอย่าง หากมีการขยับโยกย้ายภายในกองทัพรอบเดือนเมษายนก็ยิ่งจะทำให้เห็นทิศเห็นทางกันมากขึ้น ของพรรค์นี้อย่าคิดว่าจะไม่เกิดขึ้น