ดักเก็บแบงก์-รพ.

วานนี้นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิอีก 4,278 ล้านบาท (SET) และถือเป็นการขาย 18 วันทำการต่อเนื่องกันรวมมูลค่ากว่า 3.25 หมื่นล้านบาท


วานนี้นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิอีก 4,278 ล้านบาท (SET)

และถือเป็นการขาย 18 วันทำการต่อเนื่องกันรวมมูลค่ากว่า 3.25 หมื่นล้านบาท

ตัวเลขนี้คือรวมการขายสุทธิของวันที่ 15 ก.พ.ไว้ด้วยแล้ว

เพราะหากดูจากที่มีรายงานการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติว่ามีการซื้อสุทธิ 5,619 ล้านบาท

แต่เป็นการซื้อที่รวมเอาธุรกรรมการซื้อขายของทรู กับ ดีแทค เข้ามา

หากตัดธุรกรรมดังกล่าวออกไป

เท่ากับว่าวันนี้ ต่างชาติขายสุทธิระหว่าง 200-300 ล้านบาท

มาถึงคำถามว่า แล้วต่างชาติจะหยุดขาย เมื่อไหร่ แล้วควรจะเลี่ยง หรือดักเก็บหุ้นกลุ่มไหนกันดีในสถานการณ์แบบนี้

หากดูจากไทม์ไลน์สำคัญ ๆ

มีการประเมินว่า สัปดาห์หน้าต่างชาติน่าจะเริ่มเบามือแล้วล่ะ

คืออาจจะมีการสลับเข้ามาซื้อบ้าง

เหตุผลเพราะจะมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของไทยเดือน ม.ค.ออกมา

บรรดานักวิเคราะห์ นักวิจัยของสถาบันการเงินต่างคาดการณ์ว่า น่าจะเป็นการฟื้นตัว เพราะล่าสุด สภาอุตสาหกรรมรายงานตัวเลขยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือน ม.ค. 66 อยู่ที่ 86,786 คัน เพิ่มขึ้น 24.28%

หากตัวเลขส่งออกรถยนต์ออกมาดี

น่าจะทำให้ภาพรวมของการส่งออกค่อนข้างสวย

และตัวเลขจีดีพีอาจจะดีกว่าคาด

ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีรายงานเช่นกัน

นักวิเคราะห์ประมาณการเช่นกันว่า ตัวเลขของสหรัฐฯ น่าจะเห็นการฟื้นตัว

จึงน่าจะพอเป็นเหตุผลที่ทำให้ต่างชาติชะลอการขายได้บ้าง

ทว่า ไม่ได้หมายความว่า จะหยุดขายเสียทีเดียว

เพราะถึงอย่างไร ยังต้องไปรอดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดในช่วงปลาย มี.ค.นี้อีก

หากตรงนั้นมีความชัดเจน

เราก็น่าจะเห็นการกลับเข้ามาซื้อของต่างชาติบ้างแหละ

ส่วนเรื่องของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ นั้น

ล่าสุดเริ่มทรง ๆ (มาอยู่ที่แนวรับ) เช่นเดียวกับเงินบาทที่ชนกับแนวต้านพอดี

คือค่าเงินเริ่มมีแรงเหวี่ยงลดลง

ทำให้การขายหุ้นนอกเหนือจากการขายทำกำไรจาก Capital gain แล้ว

ประเด็นเรื่องกำไรจาก “ค่าเงิน” น่าจะเป็นอีกปัจจัยทำให้ต่างชาติขายหุ้นในเอเชีย และไทย

มีคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ว่า เริ่มเข้าเก็บหุ้นในกลุ่มธนาคาร ได้บ้างแล้ว

เพราะหากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาฟื้นตัว

กลุ่มแบงก์จะได้ประโยชน์ และที่ผ่านมาหุ้นแบงก์มักจะเด้งรับข่าวตัวเลขจีดีพีที่ออกมาดีทุกครั้ง

หุ้นแบงก์ที่มีการแนะนำกันเช่น KBANK BBL และ KTB

และรวมถึงหุ้นปันผลดี TISCO กับ KKP

สำหรับหุ้นแบงก์ ถือว่าราคาปรับลงมาค่อนข้างลึกแล้ว

อีกกลุ่มที่แนะนำกันคือ โรงพยาบาล ค่อนข้างที่จะ Defensive หน่อย เพราะไม่ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะออกมาอย่างไร หุ้นกลุ่มนี้ฯ จะไม่เกิดการเหวี่ยงมากนัก

Back to top button