CPN คาดกำไรปีหน้าดีกว่าปีนี้ ตั้งงบลงทุน 1.4-1.5 หมื่นลบ.
CPN คาดปี 59 กำไรดีกว่าปีนี้ตามเป้ารายได้โต 14-15% เตรียมเปิดศูนย์การค้าใหม่อีก 2 แห่งในปีหน้า ตั้งงบลงทุน 1.4-1.5 หมื่นลบ. รองรับการขยายศูนย์การค้าใหม่-รีโนเวทโครงการเดิม
นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินบัญชีและบริหารความเสี่ยง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมั่นใจว่ากำไรสุทธิปีนี้ดีกว่าปีก่อนที่ 7,306.95 ล้านบาท โดยเป็นการเติบโตตามรายได้ที่ยังคงเป้าหมายเติบโต 8-9% ในปีนี้ โดยภาพรวมผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/58 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้ตั้งแต่เดือน ต.ค.ที่ยอดการใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในช่วงปลายก็ยังเป็นช่วงไฮซีซั่นอีกด้วย
สำหรับกำไรสุทธิปี 59 คาดว่าจะดีกว่าปีนี้ ตามการเติบโตของรายได้ที่ตั้งเป้าหมายไว้ราว 14-15% เนื่องจากจะรับรู้รายได้เต็มปีของศูนย์การค้าที่เปิดในปีนี้ 4 แห่ง คือ เซ็นทรัลพลาซ่า เวสต์เกต, เซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต, เซ็นทรัลพลาซ่า ระยอง และเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ รวมถึงโครงการรีโนเวทอีก 2 แห่ง คือ เซ็นทรัลบางนา และเซ็นทรัลปิ่นเกล้า
นอกจากนี้ในปี 59 บริษัทยังเตรียมเปิดศูนย์การค้าใหม่อีก 2 แห่ง คือ เซ็นทรัล นครศรีธรรมราช และเซ็นทรัล นครราชสีมา ในขณะเดียวกันยังจะมีแผนรีโนเวทโครงการเดิมที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ 14,000-15,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายศูนย์การค้าใหม่ และรีโนเวทโครงการเดิม
ทั้งนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อเข้าลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม 3 แห่ง ในจังหวัดระยอง ขอนแก่น และเชียงใหม่ มูลค่าโครงการราว 1,600 ล้านบาท โดยบริษัทจะเริ่มเปิดขายทั้ง 3 โครงการได้ในช่วงเดือน ม.ค.59 ซึ่งตั้งเป้ายอดขาย 30% ใน 3-4 เดือนหลังเปิดขาย พร้อมเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 2/59 และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 61
สำหรับการเปิดศูนย์การค้าแห่งแรกในมาเลเซียนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งมั่นใจว่าจะเปิดได้ตามแผนในปี 60 ในขณะเดียวกันบริษัทฯก็ยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อขยายศูนย์การค้าต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาทั้งที่อินโดนีเซีย และเวียดนาม
ส่วนการศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) นั้นปัจจุบันอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของกฎระเบียบ และต้องหารือกับผู้จัดการกองทุน รวมถึงการอนุมัติจากผู้ถือหน่วยลงทุนด้วย โดยบริษัทคาดว่าจะเห็นความชัดเจนก่อนที่สิทธิประโยชน์การยกเว้นค่าธรรมเนียมในการปรับเปลี่ยนจากกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ไปเป็นกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะหมดลง
ขณะที่บริษัทยืนยันว่ายังมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการลงทุนในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 3/58 มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ระดับ 1.25 เท่า