SVR ปักหมุดปี 66 เปิด 3 โครงการ 1.6 พันล้าน สยายปีกผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยครบวงจร

นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทฯประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย โดยมีรายได้รวมที่ 726.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.65% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 564.46 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จาการขายอสังหาริมทรัพย์ 98.30 ล้านบาท และจากการขายที่ดินไม่ได้ใช้ประโยชน์ 67.80 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิจำนวน 56.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.30% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 51.59 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากความสำเร็จของยอดขายที่เพิ่มขึ้น เป็นไปตามแผนกลยุทธ์การพัฒนาโครงการอสังหาฯ ซึ่งจะเห็นได้จากรายได้จากโครงการเพื่อขายในปี 2565 จำนวน 657.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.53 หรือ 98.03 ล้านบาท จาก 559.25 ล้านบาท ในปี 2564 ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการรับรู้รายได้ในปี 2565 จาก 7 โครงการ

ขณะปี 2564 รับรู้รายได้ 5 โครงการ โดยมีรายได้ส่วนใหญ่จากการขายโครงการสิวารมณ์ แกรนด์ (สุขุมวิท-บางปู) จำนวน 279.63 ล้านบาท และโครงการสิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-เทพารักษ์) จำนวน 200.19 ล้านบาท ปาร์ค (สุขุมวิท-บางปู) จำนวน 16.28 ล้านบาท ซึ่งได้มีการปิดการขายภายในปี 2565 และโครงการใหม่ที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2565 จำนวน 3 โครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู58) จำนวน 52.90 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้เดือนธันวาคม 2565, โครงการสิวารมณ์ เนเจอร์พลัส (อัสสัมชัญ-ศรีราชา) จำนวน 47.01 ล้านบาทเริ่มรับรู้รายได้ปลายไตรมาส3/2565 และโครงการสิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 (สุขุมวิท – บางปู) เริ่มรับรู้รายได้เดือนตุลาคม  2565 จำนวน 40.47 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมปี 2565 ต้องยอมรับว่าภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต้องเผชิญกับความท้าทาย จากสถานการณ์ทั้งภายในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงมีการชะลอตัวอยู่บ้าง แต่ด้วยแผนการวางกลยุทธ์การตลาดผ่านการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ ในระดับราคา 1-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นกลุ่ม Real Demand สูง  เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยแบบ Premium Economy (ความคุ้มค่า) ส่งผลให้ทุกโครงการของ SVR ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัย ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นถึงความสำเร็จของยอดขายที่เพิ่มขึ้น

นายรณฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่ประเทศจีนได้เปิดประเทศ ส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ซึ่งก็จะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน ส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบ มีดีมานด์เพิ่มขึ้น สอดรับแผนธุรกิจปี 2566 ของบริษัทฯที่เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,600ล้านบาท ประกอบด้วย

1.โครงการสิวารมณ์ วิลเลจ ( บนทำเลบางกรวย-ไทรน้อย) เป็นบ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 242 ยูนิต ระดับราคาขายที่ 2-3.5 ล้านบาทต่อยูนิต บนพื้นที่ 24-3-39 ไร่ มูลค่าโครงการ 691 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างบ้านในเฟสแรก จะเป็นบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย โดยบริษัทฯเตรียมเปิดตัวในเดือนมิถุนายนนี้ โครงการดังกล่าวเป็นโครงการแรกของบริษัทฯที่เข้าไปบุกโซนนนทบุรี (บางกรวย-ไทรน้อย) ซึ่งจากการสำรวจพบว่าความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบในโซนดังกล่าวมีสูงขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นบริษัทฯจึงเชื่อว่าภายในระยะเวลา 2-3 ปี จะสามารถปิดการขายโครงการได้ตรงตามแผนที่วางไว้

2.โครงการสิวารมณ์ ไฮด์ (บนทำเลวงแหวนกาญจนาภิเษก ) เป็นบ้านเดี่ยวขนาด 100 ตารางวา ภายใต้ แบรนด์ใหม่ “สิวารมณ์ ไฮด์” จำนวน 29 ยูนิต ระดับราคาขายที่ประมาณ 12 ล้านบาทต่อยูนิต บนพื้นที่กว่า 11-3-80.5 ไร่ มูลค่าโครงการ 401 ล้านบาท สำหรับโครงการดังกล่าว เป็นการขยายเซกเมนต์ผู้อยู่อาศัยระดับบน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่บริษัทฯ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมพื้นที่ เพื่อเริ่มการก่อสร้าง และคาดว่าจะเปิดขายได้ ในปลายไตรมาส 4/2566 และคาดว่าจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ ภายในปีนี้ประมาณ 50 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 2 ปี

3.โครงการ สิวารมณ์ ปาร์ค (บนทำเซอยประชาอุทิศ 76) เป็นโครงการบ้านเดี่ยวขนาด 50 ตารางวา ภายใต้แบรนด์ “สิวารมณ์ ปาร์ค” จำนวน 91 ยูนิต ระดับราคาขายที่ประมาณ 5 ล้านบาทต่อยูนิต บนพื้นที่ประมาณ 22-3-78 ไร่ มูลค่าโครงการ 528  ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมพื้นที่เพื่อก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดขายในปลายไตรมาส 4/2566 เช่นกัน และคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 2 ปี

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ SVR มีแผนขยายการพัฒนาโครงการเข้ามาในพื้นที่ใกล้โซน CBD ของกรุงเทพมากขึ้น จากเดิมที่พัฒนาโครงการในโซนพื้นที่ปริมณฑลเป็นหลัก เนื่องจากบริษัทฯ ต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตสินค้า อีกทั้งยังขยายฐานกลุ่มลูกค้าเซกเมนต์ผู้อยู่อาศัยระดับบน ภายใต้การพัฒนาโครงการระดับพรีเมี่ยมบนบ้านระดับราคาที่สูงขึ้นแตะระดับ 12 ล้านบาท จากเดิมที่เราพัฒนาโครงการระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อยูนิต

โดยเนื่องจากมองว่าลูกค้าระดับดังกล่าว เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ขอสินเชื่อผ่านง่าย มีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้นบริษัทฯ จึงมองว่าฐานลูกค้ากลุ่มดังกล่าวยังมีดีมาด์สูง ที่สามารถเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ในอนาคต ที่สำคัญยังสามารถสร้างการเติบโตรายได้ในปี 2567 ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดตามแผนที่วางไว้ เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงการเติบโตสู่ระดับ High Growth อย่างยั่งยืนในอนาคต