TACC ลุ้นเปิดเหนือจอง ด้านผู้บริหาร-FA มั่นใจพื้นฐานแกร่ง!
TACC เทรดวันแรกลุ้นเหนือจอง มีราคาก่อนเปิดตลาด (Pre Open) 5 นาที อยู่ที่ 3.90 บาท โดยจำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายก่อนเปิดตลาดประมาณ 51 ล้านหุ้น ด้านฝั่งซื้อ (Bid) ประมาณ 24 ล้านหุ้น ส่วนฝั่งขาย (Offer) ประมาณ 22 ล้านหุ้น ขณะที่ ผู้บริหารมั่นใจเปิดเหนือจองแน่นอน โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC ราคาก่อนเปิดตลาด (Pre Open) 5 นาที อยู่ที่ 3.90 บาท โดยจำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายก่อนเปิดตลาดประมาณ 51 ล้านหุ้น ด้านฝั่งซื้อ (Bid) ประมาณ 24 ล้านหุ้น ส่วนฝั่งขาย (Offer) ประมาณ 22 ล้านหุ้น ขณะที่ ผู้บริหารมั่นใจเปิดเหนือจองแน่นอน โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซียไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วันนี้ (2 ธ.ค.) หุ้นไอพีโอของบริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC จำนวน 168 ล้านหุ้น จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ระดับ 3.60-4.20 บาท ยืนเหนือราคาไอพีโอที่ 2.88 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ คาดการณ์จากกำไรสุทธิของ TACC ในปีนี้จะอยู่ที่ 78 ล้านบาท เติบโต 50% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 52 ล้านบาท พร้อมทั้งมองว่าอีก 3 ปีข้างหน้า กำไรสุทธิจะสามารถเติบโตต่อเนื่องปีละ 23.5% ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนในตู้กดเครื่องดื่มอัตโนมัติ (Vending Machine) ภายในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น เฟส 1 จำนวน 1,500 เครื่อง ที่จะเป็นตัวผลักดันผลประกอบการให้เติบโต
นายชัชชวี วัฒนสุข ประธาน TACC เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจหุ้นที่เข้าซื้อขายเป็นวันแรกในวันนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ทำให้สามารถยืนเหนือราคาจองที่ 2.88 บาทต่อหุ้นได้อย่างแน่นอน เนื่องจากนักลงทุนเล็งเห็นถึงอนาคตของธุรกิจที่คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 3 ปีข้างหน้า หลังจากที่บริษัทขยายการลงทุนในธุรกิจ “เครื่องกดเครื่องดื่มแบบอัตโนมัติ” (Vending Machine) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มร้อนประเภทชาและกาแฟในร้าน 7-Eleven ทั้งหมด 1,500 เครื่อง
โดยเบื้องต้นในปีนี้บริษัทจะสามารถติดตั้งเครื่อง Vending Machine ได้ประมาณ 10 เครื่อง และในปีหน้าจะติดตั้งเพิ่มได้อีก จำนวน 740 เครื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ในปีหน้าบริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนี้อยู่ที่ 10% และส่วนที่เหลืออีกจำนวน 750 เครื่องนั้นจะสามารถติดตั้งแล้วเสร็จภายในปี 2560 และคาดว่าจะทำให้มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 30% โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 120 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมีรายได้รวม 745.42 ล้านบาท ลดลง 3.25% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 54.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.68 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 77.36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 30.61 ล้านบาท โดยสูงกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2557 ที่มีจำนวน 51.84 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีนโยบายในการมุ่งเน้นขายสินค้ากลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเพิ่มมากขึ้น