MINT โรงแรม – อาหารกลับมาแข็งแกร่ง
MINT ปิดงบปี 2565 อย่างสวยงาม ด้วยการเทิร์นอะราวด์ โชว์กำไรสุทธิ 4.29 พันล้านบาท พลิกจากเคยขาดทุนในปี 2564 ที่ 1.32 หมื่นล้านบาท
เส้นทางนักลงทุน
บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT ปิดงบปี 2565 อย่างสวยงาม ด้วยการเทิร์นอะราวด์ โชว์กำไรสุทธิ 4.29 พันล้านบาท พลิกจากเคยขาดทุนในปี 2564 ที่ 1.32 หมื่นล้านบาท คิดเป็นการเติบโตสูงถึง 133% มีรายได้รวมแตะ 1.24 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% จาก 7.60 หมื่นล้านบาทปีก่อน
MINT ฟื้นตัวเต็มสูบเป็นผลจากทั่วโลกกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ มีการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศ ผู้คนกลับมาเดินทางท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น หนุนให้ 3 ธุรกิจหลักของ MINT ทั้งกลุ่มธุรกิจโรงแรม กลุ่มธุรกิจอาหาร และกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ ฟื้นตัวชัดเจน
รายได้หลัก ๆ ของ MINT มาจากธุรกิจโรงแรมสัดส่วน 76% ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารอยู่ที่ 22% ของรายได้รวม (สิ้นไตรมาส 4 ปี 2565)
มีแนวโน้มว่าในปี 2566 นี้ MINT จะยังโชว์ผลงานได้ดี จะสามารถสร้างปรากฏการณ์เร่งการเติบโตและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร รวมทั้งรักษาตำแหน่งในฐานะผู้นำในตลาดระดับโลกได้ แม้งวดไตรมาส 1 ปี 2566 อาจจะยังไม่ค่อยโดดเด่นมากเท่าไร
โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด มองว่าจากกําไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 2565 ของ MINT ที่ 1.9 พันล้านบาท ลดลง 59% จากไตรมาสก่อน แต่เป็นการเทิร์นอะราวด์ จากขาดทุน 1.6 พันล้านบาท ในงวดไตรมาส 4 ปี 2564
ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษ จะมีกําไรปกติ 2.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน และ 43% จากงวดปีก่อน ซึ่งสูงกว่าในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด เป็นทิศทางดีติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 รวมทั้งยังทําได้ดีกว่าตลาดคาดไว้ถึงราว 9%
ส่วนแนวโน้มในไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งปกติเป็นช่วงโลว์ซีซัน (Low Season) ในยุโรป การดําเนินงานจึงอาจลดลงจากไตรมาสก่อน แต่มีพัฒนาการที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน จากการเปิดประเทศ หรือ Reopening ประเทศไทย และจะกลับมาฟื้นตัวในงวดไตรมาส 2 ปี 2566 จากการเข้าสู่ไฮซีซัน (High Season) ในยุโรป
เช่นเดียวกับ บล.บัวหลวง ที่เห็นว่าธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หนุนโดยอัตราการเข้าพักโรงแรมที่ 64% ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา และอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันปีก่อน รายได้เฉลี่ยต่อห้องพักโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น 58% ดีขึ้นในทุกโรงแรมที่ MINT เป็นเจ้าของและบริหาร
ผลงานที่พลิกเป็นกำไร ได้แรงหนุนมาจากธุรกิจโรงแรมแบรนด์เอ็นเอช (NH) ที่มีรายได้อยู่ที่ 501 ล้านยูโรในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา และมีกำไรหลักอยู่ที่ 45 ล้านยูโร มีอัตราการเข้าพักโรงแรมอยู่ที่ 65% แม้ยังคงต่ำกว่าที่ 72% ในช่วงเดียวกันก่อนโควิด แต่อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 15% ดังนั้นรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักปรับตัวเพิ่มขึ้น 111% จากปีก่อน
ในไตรมาส 4 ปี 2565 MINT ได้เปิดโรงแรม Anantara Plaza Nice ในประเทศฝรั่งเศส และ The Plaza Doha by Anantara ในประเทศกาตาร์ รวมทั้งได้นำแบรนด์ NH เข้าสู่ทวีปเอเชียด้วยการเปิดตัว NH Boat Lagoon Phuket Resort ในประเทศไทย
ทั้งนี้ เมื่อนับรวมจำนวนโรงแรมที่เปิดใหม่ ณ สิ้นปี 2565 กลุ่มธุรกิจโรงแรมของ MINT จะมีโรงแรมทั้งหมดจำนวน 531 โรงแรม และ 76,996 ห้อง ครอบคลุม 56 ประเทศ
ส่วนยอดขายธุรกิจอาหารในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้น 22% มาจากยอดขายอาหารของสาขาเดิมเติบโต 4.4% หนุนโดยผลการดำเนินงานในประเทศไทยและออสเตรเลีย ในขณะที่ในประเทศจีนปรับตัวดีขึ้น หลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดในช่วงไตรมาส 2 ของปีก่อน
การที่ลูกค้านั่งรับประทานอาหารภายในร้านได้เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศไทยและออสเตรเลีย ช่วยลดผลกระทบจากการชะลอตัวของการดำเนินงานในประเทศจีนได้บางส่วน
อย่างไรก็ตาม ทิศทางกำไรในไตรมาส 1 ปี 2566 ยังคาดว่าจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงตามฤดูกาลของธุรกิจโรงแรม NH ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซันของการท่องเที่ยวในยุโรป แต่ผลการดำเนินงานในประเทศอื่น ทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารจะมีกำไรแข็งแกร่งขึ้น
โบรกเกอร์ทั้ง 2 ค่ายให้คำแนะนำ “ซื้อ” MINT โดยบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา ราคาหุ้น MINT ปรับตัวเพิ่ม แต่ยังถือว่า Laggard จากแนวโน้มการดําเนินงานฟื้นตัว ให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 38 บาท แต่ก็มีปัจจัยความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปที่ยังคงต้องติดตาม
ส่วนบล.บัวหลวง ให้ราคาเป้าหมายพื้นฐานที่ 39 บาท มองมีอัพไซด์ต่อประมาณการปี 2566 เนื่องจากเป็นหุ้นสำหรับการลงทุนระยะยาวด้วยปัจจัยพื้นฐาน, แบรนด์ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่แข็งแกร่ง
MINT จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดสำหรับปี 2565 ในอัตรา 30% ของกำไร หรือ 0.25 บาทต่อหุ้น Record date วันที่ 28 เม.ย. 2566 กำหนดจ่ายปันผลวันที่ 18 พ.ค. 2566
งานนี้อาจมีข่าวดี เพราะผู้บริหาร MINT แย้มว่าอาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอีกครั้งในปีนี้ …มาลุ้นกันว่า บอร์ดและผู้ถือหุ้นจะอนุมัติหรือไม่