จีนหักปากกาเซียน
รัฐบาลจีนจะเปิดเผยเป้าหมายการเติบโตของจีดีพีปีนี้ จีดีพีจีนปีนี้จะโตเฉลี่ยเกินกว่า 5% และมีเพียงไม่กี่แห่งที่คาดการณ์ว่าจะโตต่ำ 5%
ก่อนหน้าที่รัฐบาลจีนจะเปิดเผยเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของปีนี้ บรรดานักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารใหญ่ ๆ คาดการณ์กันเป็นส่วนใหญ่ว่า จีดีพีจีนปีนี้จะโตเฉลี่ยเกินกว่า 5% และมีเพียงไม่กี่แห่งที่คาดการณ์ว่าจะโตต่ำ 5% แต่เมื่อถึงเวลาแถลงจริง นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ได้หักปากกาเซียนเสียเป็นส่วนใหญ่
หลังจากที่ข้อมูลกิจกรรมโรงงานจีนของเดือนที่ผ่านมาสูงสุดรอบเกือบ 11 ปี ยิ่งช่วยสนับสนุนความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อกันเป็นส่วนใหญ่กันว่าเศรษฐกิจจีนจะกลับมาโตและฟื้นตัวเพิ่ม หลังจากที่ได้ยุติมาตรการคุมโควิด
โซซิเอเต เยเนอราล เป็นธนาคารที่มองบวกมากสุด โดยคาดว่าจีดีพีจีนปีนี้จะโตถึง 5.80% ตามมาด้วยซิตี้และมอร์แกน สแตนลีย์ คาดการณ์เท่ากัน 5.70% HSBC และเจพีมอร์แกนคาดการณ์เท่ากัน 5.60% โกลด์แมนแซคส์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา คาดการณ์ 5.50% โนมูระ คาดไว้ 5.30% กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดไว้ 5.20% บีเอ็นพี ปาริบาสและเครดิตสวิสประมาณการไว้ 5.10% ขณะที่ มูดีส์ ฟิทช์ เรทติ้งส์ และไอเอ็นจีคาดการณ์ 5%
ส่วนธนาคารที่คาดการณ์ต่ำกว่า 5% คือ ยูบีเอส 4.90% เอสแอนด์พี คาดไว้ 4.80% และออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิคส์ มองลบมากสุด โดยคาดว่าจะโตเพียง 4.50%
อย่างไรก็ดีนายกรัฐมนตรีจีนกลับตั้งเป้าจีดีพีของปีนี้ไว้ประมาณ 5% เท่านั้น โดยเหตุผลที่แนบมากับตัวเลขประมาณการนี้คือ มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศ แถมยังบอกว่าจะมีมาตรการสนับสนุนทางการคลังเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย โดย อัตราส่วนการขาดดุลต่อจีดีพีจะเพิ่มขึ้นเพียง 3% จาก 2.8% ในปีที่แล้ว
ยังมีรายงานจาก คณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนาแห่งชาติ (NDRC) ซึ่งเป็น หน่วยงานวางแผนเศรษฐกิจของจีนอีกต่างหากว่า มีปัจจัยอีกสองสามอย่างที่ขัดขวางการฟื้นตัวและการเติบโตของการบริโภค การเริ่มลงทุนใหม่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังทำได้อย่างลำบาก เศรษฐกิจของรัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งฟื้นตัวได้ยาก และกำลังเผชิญกับความไม่สมดุลทางการคลังอย่างเห็นได้ชัด จำเป็นต้องแก้ไขความเสี่ยงเรื่องหนี้จากแพลตฟอร์มในการจัดหาเงินกู้ของรัฐบาลท้องถิ่น
เป้าหมายจีดีพีของรัฐบาลจีนปีนี้ ต่ำกว่าปีที่แล้ว 0.5% ในขณะที่เป้าหมายปีที่แล้วอยู่ที่ 5.5% แต่จีดีพีโตจริง ๆ ในปีที่แล้วเพียง 3% เนื่องจากมีมาตรการคุมโควิดหลายระลอก และความตกต่ำในภาคอสังหาริมทรัพย์ฉุดการเติบโต เทียบกับที่โตถึง 8% ในปี 2564
ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์หลายคนขณะนี้ การบริโภคภายในประเทศยังไม่สามารถกระตุ้นการเติบโตได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันคาดว่า การส่งออกของจีนแทบจะไม่โตเลยในปีนี้ เพราะอุปสงค์สินค้าจีนลดลงเนื่องจาก การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป
ถ้าเป้าหมายที่รัฐบาลจีนตั้งไว้กับการเติบโตจริงในปีนี้ ยังห่างไกลกันมากเหมือนปีที่แล้ว นักเศรษฐศาสตร์มองว่า ต้องมีมาตรการทางการคลังอุดหนุนเพิ่ม แต่เมื่อรัฐบาลจีนประกาศว่าจะเพิ่มการอุดหนุนทางการคลังเพียงเล็กน้อย ก็เท่ากับว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จีดีพีปีนี้จะต่ำกว่าเป้าเช่นปีที่แล้วอีกปี หากเป็นเช่นนั้น เศรษฐกิจบริวารของจีน ต้องรับผลกระทบไปด้วยอย่างแน่นอน และจะไม่ช่วยเกื้อหนุนเศรษฐกิจโลกได้มากนัก
อย่างไรก็ดีการประชุม สภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) หรือสภาตรายาง ที่เริ่มมาตั้งแต่วันอาทิตย์ยังไม่จบ หลังจากที่เปิดเผยเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบพอประมาณมีการคาดการณ์กันว่าจะมีการปรับเปลี่ยนรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ และน่าจะมีการรับรองอย่างเป็นทางการให้ “หลี่ เฉียง” เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หลังจากได้ขึ้นเป็นเบอร์สองรองจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อมีการเปิดเผยรายชื่อคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมืองชุดใหม่ (Politburo Standing Committee) เมื่อเดือน ตุลาคมที่ผ่านมา
ด้วยอำนาจที่สีกุมได้เบ็ดเสร็จในสมัยที่สาม ไม่แน่ บางทีอาจจะมี “ทีเด็ด” หรือ “เซอร์ไพรส์” ที่ช่วยหนุนนำให้เป้าหมายจีดีพี 5% ไม่ไกลเกินเอื้อม ก็เป็นได้เช่นกัน