สแกนกลุ่ม “ออริจิ้น” PRI รีเทิร์น 2 เดือน 65% จับตากำไรปีนี้ 1.3 พันล้าน

PRI ดาวเด่น “กลุ่มออริจิ้น” แค่ 2 เดือนราคาหุ้นวิ่งขึ้นเฉียด 65% ฟากโบรกมองบวก จับตากำไรปีนี้ 1.3 พันล้าน เตรียมปิดดีล M&A ใหม่ภายในครึ่งแรกของปีนี้


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจอย่างกลุ่ม “ออริจิ้น” หลังพบว่าตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน (10 มี.ค.66) ราคาหุ้นทั้งกลุ่มได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหลักทรัพย์ที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่นสุด ได้แก่ บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI ถัดมาคือ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI และ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ตามตารางด้านล่างนี้

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 66 นางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRI เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 1,300 ล้านบาท (ยังไม่รวมรายได้การเข้าซื้อกิจการ) เติบโตจากปี 2564 ที่ประมาณ 173.06% ซึ่งเป้าหมายรายได้ในปี 2566 ถือเป็นการเติบโตสร้างสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) โดยบริษัทมีแผนพิจารณาการขยายธุรกิจใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภครายย่อยเป็นหลัก เช่น ธุรกิจร้านสะดวกซัก (Wash & Dry) รวมถึงรักษาระดับการเติบโตในกลุ่มธุรกิจทั้ง 8 กลุ่มที่ให้บริการอยู่แล้วในปัจจุบัน โดย ณ สิ้นปี 2566 ตั้งเป้าหมายจะมีโครงการที่เข้าไปบริหารนิติบุคคลและโครงการที่เข้าไปบริหารงานขายรวมกันเพิ่มเป็น 150 โครงการ จากปัจจุบันที่มี 120 โครงการ

อีกทั้งในปี 66 บริษัทมีแผนการเติบโตภายใต้แนวคิด “Super Living Service” ขยายขอบเขตธุรกิจบริการใหม่ ๆ ทั้งกลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในหลากหลายมิติ ได้แก่ 1.การเพิ่มบริการในเซกเมนต์ใหม่ เช่น การขยายบริการบางกลุ่มธุรกิจจากเซกเมนต์ทั่วไป สู่เซกเมนต์ระดับลักซ์ชัวรี่, 2.การเปิดตัวธุรกิจใหม่ มุ่งเน้นธุรกิจที่จะช่วยเติมเต็มความครบวงจรของงานบริการ และธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์โลก, 3.การบุกตลาดต่างจังหวัด โดยวางแผนส่งบริษัทย่อยบุกให้บริการในพื้นที่ทั้ง 4 ภูมิภาคหลักของประเทศ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคอีสานที่ จ.ขอนแก่น และเขาใหญ่ ภาคกลางตอนล่างและภาคใต้ที่ หัวหิน และ จ.ภูเก็ต และภาคตะวันออก ที่ จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง โดยในช่วงไตรมาส 2/66 บริษัทจะเริ่มนำร่องบุกต่างจังหวัดนอกพื้นที่ EEC เป็นครั้งแรก ซึ่งจะเริ่มที่จังหวัดภูเก็ต

สำหรับการสร้างการเติบโตของ PRI จะมีทั้งการเติบโตด้วยตัวเอง (Organic Growth) และการเติบโตทางลัด (Inorganic Growth) ผ่านการจับมือร่วมทุนกับพันธมิตร (Joint Venture) กับผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจนั้น ตลอดจนการพิจารณาซื้อกิจการ (M&A) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนั้นอยู่แล้ว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยยกทัพบริษัทในเครือ มองหาพันธมิตรที่จะเข้ามาเติมเต็มความครบวงจรภายในปี 2566

ทั้งนี้ภายในช่วงครึ่งปีแรกของในปี 66 คาดว่าจะสามารถปิดดีล M&A ธุรกิจต้นน้ำ คือ กลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาและออกแบบทางวิศวกรรม (Per-Living Services) เข้ามา 1 บริษัท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งการซื้อกิจการในครั้งนี้จะเข้ามาหนุนการเติบโตของ PRI ต่อเนื่อง และภายในปี 2566 คาดว่าจะเห็นการร่วมทุน (JV) กับพันธมิตรด้วย โดยปัจจุบันมีการเจรจากับพันธมิตรมากกว่า 3 ดีล เพื่อ M&A และ JV ร่วมกัน

ด้านนายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BRI เปิดเผยว่า ในปี 66 บริษัทเดินหน้าธุรกิจอย่างต่อเนื่องภายใต้กลยุทธ์  “B To The Top” สู่เป้าหมายผู้นำธุรกิจพัฒนาบ้านจัดสรรระดับท็อปใน 3 มิติ ได้แก่

1.B The Growth นำพาองค์กรเติบโตสู่ระดับท็อปของตลาดด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท หรือ All Time High จำนวน 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 22,500 ล้านบาท ยกทัพแบรนด์ในเครือทั้ง 4 แบรนด์ ได้แก่ เบลกราเวีย (Belgravia) แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) บริทาเนีย (Britania) และไบรตัน (Brighton) ร่วมบุกตลาดทุกเซ็กเมนท์ กระจายตัวบุกทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล อาทิ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC อย่างชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ตลอดจนหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด นำร่องที่ขอนแก่นด้วยบริทาเนีย มะลิวัลย์ และบริทาเนีย อยุธยา

“เราประเมินว่าปีนี้บ้านทุกระดับราคา จะมีความต้องการต่อเนื่อง เป็นสาเหตุให้เรานำแบรนด์เบลกราเวีย ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับลักชัวรีกลับมาร่วมบุกตลาดพร้อมกับอีก 3 แบรนด์ และจะมีทั้งโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ตลอดจนโครงการที่เป็นมิกซ์โปรดักส์ เปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน และสร้างคุณค่าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี ปีนี้โฟกัสหลักของเราจะมุ่งไปที่ตลาดใหญ่ที่สุดของปีนี้อย่างตลาดบ้าน 5-10 ล้าน ซึ่งเป็นเซ็กเมนท์ที่มีกำลังซื้อแข็งแกร่ง โดยมีฟังก์ชันตอบโจทย์การอยู่อาศัยร่วมกันระหว่างคนหลากเจเนอเรชั่น รองรับประเทศก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ” นายสุรินทร์ กล่าว

สำหรับโครงการที่นับเป็นไฮไลต์ของปีนี้ ได้แก่ เบลกราเวีย ราชพฤกษ์-นครอินทร์ (Belgravia Ratchapruek-Nakornin) และเบลกราเวีย พุทธมณฑล สาย 3 (Belgravia Phuttamonthon Sai 3) ถือเป็นการนำแบรนด์ บ้านเดี่ยวลักชัวรีของบริษัทกลับมาเจาะตลาดอีกครั้ง ในทำเลที่ประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมากในช่วงก่อนหน้านี้

โดยมีไฮไลต์หลักที่น่าสนใจคือ จำนวนยูนิตน้อย เพิ่มความเป็นส่วนตัวและความรู้สึกเอ็กซ์คลูซีฟ พื้นที่บ้านมากกว่า 100 ตร.วา มีฟังก์ชันภายในบ้านที่คำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness) ของครอบครัวที่มีสมาชิกหลากหลายเจเนอเรชัน (multi-generation family) พร้อมตอบโจทย์กิจกรรมและไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัว บนทำเลที่เชื่อมต่อเมืองและการเดินทางได้สะดวก

2.B The Craft มุ่งมั่นสู่การเป็นแบรนด์บ้านจัดสรรระดับท็อปในใจผู้บริโภค (Top of Mind Brand) ด้วย Culture หรือวัฒนธรรมองค์กร Craft Mindset อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ลูกค้าให้คุณค่า (Customer Value) ในการสร้างสรรค์ ดูแล และบริการที่ยกระดับให้แก่ผู้บริโภค ผ่านนวัตกรรมการอยู่อาศัย พื้นที่ส่วนกลาง ที่ตั้งใจออกแบบจาก Customer Insight การดูแลความปลอดภัย ตอกย้ำวิสัยทัศน์ CRAFT a life you love ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก ด้วยความเข้าใจและใส่ใจวิถีชีวิตของลูกค้าในทุกแบบบ้านอย่างลึกซึ้ง

3.B The Goodness มุ่งมั่นเป็นองค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคม ทั้งในโครงการและชุมชนรอบด้าน อาทิ โครงการ CRAFT PARK สร้างพื้นที่สีเขียวสาธารณะเพื่อชุมชน ซึ่งเป็นโมเดลความร่วมมือของภาคเอกชน ภาคสังคม และชุมชน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบ ลงมือทำ ตลอดจนเดินหน้าเพื่อสิ่งแวดล้อมภายใต้โครงการ B GREEN มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ผ่านการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำ คือ การออกแบบ เลือกใช้วัสดุฉลากเขียว และการก่อสร้าง การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การจัดการขยะ จนถึงปลายน้ำ

นายสุรินทร์ กล่าวอีกว่า นอกจากเป้าหมายภายใต้แนวคิด B To The Top ทั้ง 3 มิติแล้ว ในเชิงธุรกิจนั้น บริษัทตั้งเป้ายอดขายทั้งปีไว้ที่ 13,000 ล้านบาท พร้อมเป้ารายได้รวมอีก 9,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเป้าหมายการเติบโตแบบ All Time High บริษัทมั่นใจว่า ด้วยแผนการกระจายบุกเปิดตัวโครงการใหม่ทุกแบรนด์ ทุกเซ็กเมนท์ ทุกทำเล การเดินหน้ายกระดับฟังก์ชันและนวัตกรรมการอยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค การเดินหน้าทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จะช่วยให้บริษัทสามารถเดินหน้าประสบความสำเร็จได้ตามเป้า

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (9 มี.ค.66) มองว่า ORI มีจุดขายที่แข็งแกร่ง และเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการ โดยการเพิ่มบริการต่างๆ อาทิ บริการหาผู้เช่าที่บริหารโดย PRI และการนำโครงการ Healthcare มาอยู่ในโครงการเพื่อเพิ่มมูลค่าและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ส่วนธุรกิจโรงแรมและพื้นที่เช่า เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 11 แห่งในปี 2566 ซึ่งจะช่วยเสริมรายได้กลุ่ม Recurring Income ให้แก่กลุ่ม One Origin และพร้อมเข้าสู่การเป็น Holding Company ที่มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจหลัก

โดย ORI ประกาศจ่ายปันผลครึ่งหลังปี 65 ที่ 0.57 บาท/หุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 8 พ.ค. 66 และกำหนดจ่ายปันผล 25 พ.ค.66 คิดเป็นผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ 4.8%

สำหรับ ORI ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 42 โครงการ มูลค่ารวม 5.0 หมื่นล้านบาท เป็นสัดส่วนจาก BRI ที่ 20 โครงการ มูลค่ารวม 2.25 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการโรงแรมที่ 11 โครงการ มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท และ Warehouse 7 โครงการ มูลค่า 4.5 พันล้านบาท โดยที่รายได้ PRI จะมีการเติบโตไปพร้อมกับการเปิดตัวโครงการใหม่ของ ORI

ทั้งนี้ การเปิดตัวโครงการใหม่ของ ORI ในปี 66 จะเน้นแบรนด์ The Origin ที่ 14 โครงการ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มี Inventory เหลือไม่มาก และในปี 66 จะมีการโอนโครงการคอนโดใหม่จำนวน 9 โครงการ

พร้อมกันนี้ ตั้งเป้ายอดขายที่ 4.5 หมื่นล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 10% จากปีก่อน และตั้งเป้ายอดโอนที่ 3.0 หมื่นล้านบาท เป็นสัดส่วนของโครงการ ORI ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท และโครงการ JV ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้มีเป้ารายได้รวมที่ 1.9 หมื่นล้านบาท เป็นสัดส่วนจากการโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท และ 1.0 พันล้านบาทจากธุรกิจโรงแรมและค่าเช่า และอีก 3.0 พันล้านบาท จากธุรกิจอื่นๆ

อีกทั้งบริษัทยังมียอดแบ็กล็อกรวมอยู่ที่ 4.05 หมื่นล้านบาท (Non-JV มูลค่า 1.13 หมื่นล้านบาท และ JV มูลค่า 2.92 หมื่นล้านบาท) โดยจะเป็นสัดส่วนที่โอนในปี 66 ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท นับเป็น 63% ของเป้าโอนรวมที่ 3.0 หมื่นล้านบาท

Back to top button