100 จุดใน 1 เดือน
การวิ่งขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกคงไม่ง่ายเหมือนเช่นที่ผ่านมา เพราะการพังครืนของแบงก์ในอเมริกา และยุโรปกลายเป็นตัวบั่นทอนความมั่นใจนการลงทุน
ก่อนอื่นต้องบอกกันตามตรงว่า การวิ่งขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกคงไม่ง่ายเหมือนเช่นที่ผ่านมา เพราะการพังครืนของแบงก์ในอเมริกา และยุโรปกลายเป็นตัวบั่นทอนความมั่นใจในการลงทุน ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ทำให้ฝรั่งตาน้ำข้าวสาดหุ้นออกมาไม่ยั้ง จนดัชนีร่วงลง 100 จุดใน 1 เดือน และยังทำให้รายย่อยบางรายกระเป๋าฉีกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะเที่ยวนี้โดนถล่มหนักแบบไม่ทันตั้งตัวน่ะซี
ฉะนั้นการที่ดัชนีทรุดตัวลงไปถึง 1,538.10 จุด ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,554.65 จุด เหลือลบ 10.35 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.96 หมื่นล้านบาท ย่อมทำให้นักลงทุนบางกลุ่มรู้สึกเหมือนมรสุมกำลังจะผ่านไปก็จริง แต่อย่าลืมว่า ปัญหาหมักหมมทางเศรษฐกิจของฝั่งอเมริกากับยุโรปยังฝังรากลึกเหมือนเดิมแบบนี้..มันทำให้เดี๊ยนนึกถึงทฤษฎี “ต้มกบ” ขึ้นมาทันที และมองเป็นแรงกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกไปอีกนานเจ้าค่ะ
ยิ่งเห็นการอัดฉีดเงินเข้าระบบธนาคารเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง และทำให้ธนาคารยังพอทำธุรกิจต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ยิ่งเป็นภาพที่ทำให้เรา ๆ ท่าน ๆ ต้องพึงสังวรไว้ตลอดเวลา เพราะยังไม่รู้ว่า บาดแผลจะแห้งสนิทเป็นปกติ หรือจะมีหนองเน่าเฟะอยู่ข้างใน “โมนิก้า” ถึงเลือกที่จะถอยไป “ตั้งหลัก” มากกว่าเดินหน้าลุยแบบ “สุดซอย” เพื่อความสบายใจของตนเองพะย่ะค่ะ
เนื่องจากการไหลลงมาร่วมเดือนมันทำให้เห็นภาพการขายหุ้นแต่ละกลุ่มชัดเจนมาก ๆ ไล่ตั้งแต่รอบแรกที่โดนกดลงมาหนัก ๆ ก็เป็นการถล่มใส่หุ้น “แบงก์” กับหุ้น “ค้าปลีก” ส่วนรอบที่สองก็ยังจัดหนักใส่หุ้น “แบงก์” อีกตามเคย และตามมาด้วยหุ้น “พลังงาน” ที่โดนตีขนาบด้วยราคาน้ำมันที่ทิ้งตัวลงแรง “โมนิก้า” ถึงมองว่า หุ้นใหญ่ไม่น่าจะฟื้นอย่างแข็งแกร่ง และเต็มที่ก็คงเป็นแค่การเด้งช่วงสั้นเหมือนที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้นะจ๊ะ
ประเด็นดังกล่าวเชื่อมโยงโดยตรงกับการไหลลงไม่หยุดของพี่เทพ PTTEP ซึ่งก่อนหน้านี้ยืนอยู่ที่ระดับ 160 บาท แต่ล่าสุดยืนอยู่ที่ระดับ 136 บาท ลบไป 8.50 บาท หรือลงไป 5.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.31 พันล้านบาท มันทำให้เดี๊ยนสงสัยว่า แนวรับ 120 บาทอาจเอาไม่อยู่ เพราะตอนนั้นราคาน้ำมันอยู่ที่ 80 เหรียญ ขณะที่ล่าสุดราคาน้ำมันอยู่ที่บริเวณ 75 เหรียญแบบนี้..มันจะเอาอยู่เหรอคะ
รายที่น่าเห็นใจถัดมา “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น BANPU เพื่อชี้ให้เห็นเรื่อง “บุญมีแต่กรรมบัง” (ช่วงที่คนอื่นขึ้น ตัวเองก็ไม่ขึ้น) กันดีกว่า เพราะการไหลลงมาเรื่อย ๆ จนล่าสุดยืนปิดที่ระดับ 10.20 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 3.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.19 พันล้านบาท มันเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกันอาทิเช่น ภาวะไม่เป็นใจ หุ้นโดนชอร์ตหนัก ราคาพลังงานลด หรือแม้กระทั่งสถาบันลดพอร์ต มันคือจุดที่กดดันให้หุ้นลงต่อเจ้าค่ะ
ส่วนรายที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากไม่แพ้กับรายข้างต้น “โมนิก้า” คงต้องมองไปที่หุ้น PTTGC เพื่อชี้ให้เห็นราคาหุ้นที่ไหลลงมาเรื่อย ๆ มันเป็นผลมาจากความกังวลในหลายเรื่องด้วยกัน ผนวกกับช่วงนี้สถาบันไม่เล่นเสียด้วย เดี๊ยนถึงมองการยืนปิดที่ระดับ 44.25 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 3.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 857 ล้านบาท มันบังคับให้หุ้นต้องเด้งโดยไม่มีข้อแม้ เพราะมันเป็นบริเวณเด้งกลับน่ะซี
ในเมื่อสถานการณ์หลายอย่างบีบรัดอย่างหนัก และมองไปทางไหนก็มีแต่เรื่องไม่สบายใจ “โมนิก้า” ถึงรู้สึกเห็นใจ STA อย่างมากที่หุ้นไหลลงไม่หยุด เพราะก่อนหน้านี้หุ้นเคยยืนอยู่ที่ระดับ 26 บาท ขณะที่ล่าสุดยืนปิดที่บริเวณ 20.80 บาท ลบไป 1.20 บาท หรือลงไป 5.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 297 ล้านบาท มันอาจเป็นสถานการณ์ที่กดดันให้หุ้นไหลลงไปที่บริเวณ 18 บาทอีกรอบกระมัง!
ตบท้ายกันที่หุ้นไฟแรงอย่าง CHASE กันดีกว่า เพราะการสวนภาวะตลาดขึ้นมาปิดที่ระดับ 3.28 บาท บวกไป 0.24 บาท หรือขึ้นไป 7.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 238 ล้านบาท มันเป็นบรรยากาศที่ทำให้รู้ว่า เที่ยวนี้เขาเอาจริง! ผนวกกับปีนี้จะซื้อหนี้เข้ามาบริหารเป็นหมื่นล้าน จึงจินตนาการถึงตัวเลขกำไรในอนาคตได้ทันที..ส่วนที่แน่ ๆ ตอนนี้คือราคาเป้าเบื้องต้นอยู่ที่ระดับ 3.80 บาทพะยะค่ะ