พาราสาวะถี
เปิดตัวกันไปเรียบร้อยภายใต้สโลแกน “คิดใหม่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน” กับงานใหญ่ของพรรคเพื่อไทยที่จัดขึ้น ณ อาคารยิมเนเซียม 4 ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต
เปิดตัวกันไปเรียบร้อยภายใต้สโลแกน “คิดใหม่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน” กับงานใหญ่ของพรรคเพื่อไทยที่จัดขึ้น ณ อาคารยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ทั้งการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 400 คนทั่วประเทศ และการขึ้นเวทีปราศรัยของ 3 คีย์แมนสำคัญ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และ เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
โดยหมอชลน่านได้เน้นย้ำถึงประชาชนหากต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องเลือกอย่างมียุทธศาสตร์ เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ เป้าหมายสำคัญคือ เพื่อไล่ 3 ป.กลับไป ไล่ ส.ว.กลับบ้าน นอกจากนั้น ยังได้มีการประกาศ 8 นโยบาย ฉบับคิดใหญ่ ทำเป็น พาประเทศไทยออกจากวิกฤต แพทองธารได้พูดถึงนโยบายและการทำให้ “คนไทยไร้จน” พร้อมอาสาที่จะพาให้ไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีการเงินอาเซียน ก่อนที่จะตอกย้ำว่าทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหาที่หมักหมมมา 8 ปีให้เบาบาง และหายไปโดยเร็ว
ด้านเศรษฐาประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ผ่าน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” โดยให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ได้จับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันใกล้บ้าน พร้อมเงินติดกระเป๋าที่รัฐจะแจกให้ทุกคน แต่เงินดิจิทัลนี้จะใช้จ่ายได้เฉพาะกับร้านค้าชุมชน และต้องอยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตรเท่านั้น นโยบายนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนระดับชุมชน เพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งตั้งแต่ระดับชุมชนขึ้นไปจนระดับประเทศ
แม้จะเป็นการขึ้นเวทีใหญ่ของพรรคเพื่อไทยหนแรก แต่ก็จะเห็นได้ว่าเศรษฐามีการเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี มีการพูดถึงความสิ้นศรัทธาในเรื่องสิทธิมนุษยชนที่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลถัดไปในการกอบกู้ศักดิ์ศรีของประชาชนให้มีสิทธิเสรีในการแสดงความคิดเห็น ย้ำถึงการเกณฑ์ทหารที่ต้องเป็นระบบสมัครใจเพื่อสร้างทหารอาชีพ มีขอบเขตการทำงานที่ชัดเจนคืนเกียรติให้กับกองทัพ รวมทั้งการแก้ไขกระบวนการยุติธรรมที่บิดพลิ้ว คืนศักดิ์ศรีให้ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม สร้างความเสมอภาคในสังคม ภายใต้รัฐบาลใหม่ของพรรคเพื่อไทย
ถือเป็นการเดินคนละเส้นทางกับพรรคของพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจถือธงนำขบวนอย่างชัดเจน ด้วยนโยบายเช่นนี้ก็พอที่จะทำให้เห็นขั้วการเมืองหลังการเลือกตั้งที่เด่นชัดมากขึ้น นอกเหนือจากพรรคฝ่ายค้านเดิมที่ไม่น่าจะมีพรรคใดถูกทอดทิ้ง พรรคที่จะเข้ามาร่วมก็ต้องพร้อมที่จะรับในนโยบายที่จะช่วยกันสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงให้คืนกลับมาด้วย เมื่อมองไปแล้วก็มีเพียงพรรคสืบทอดอำนาจและภูมิใจไทยเท่านั้น
แม้ว่าทั้งสองพรรคจะมีคราบไคลที่ได้ร่วมผสมพันธุ์กับขบวนการสืบทอดอำนาจมาก่อน แต่เมื่อพิจารณาไปยังท่าทีของผู้นำพรรค ไม่ว่าจะเป็นพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ที่ชูนโยบาย “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งตั้งใจที่จะเลิกแบกเสลี่ยงให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่งอีกต่อไป ที่เหลือก็คือการพิสูจน์ความจริงใจว่า ทั้งสองคนนั้นมุ่งมั่นที่จะร่วมกันทำลายกลไก และมรดกตกทอดของเผด็จการ คสช.ทิ้งอย่างจริงจังหรือไม่ ระยะเวลาที่เหลือก่อนหย่อนบัตรจะเป็นตัวชี้วัด
อย่างไรก็ตาม จดหมายเปิดใจของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ฉบับล่าสุดที่บอกว่าเป็นบทสรุปสู่ก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งยังไม่น่าจะใช่ฉบับสุดท้าย แต่เนื้อหาสาระบางส่วนก็เป็นการฉายภาพให้เห็นความล้มเหลวของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่เข้ามาบริหารประเทศตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมา รวมไปถึงกลไกของอำนาจที่ควบคุมประเทศ ด้วยการชี้ให้เห็นว่าหลังจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมควบคุมอำนาจได้แต่ก็พ่ายแพ้ทุกครั้ง เมื่อการได้อำนาจต้องผ่านการเลือกตั้ง
ในทางตรงข้ามฝ่ายประชาธิปไตยแม้จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่เสมอ แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่มีพลังพอที่จะต้านทานการเข้ามาควบคุมจากกลไกที่มีอำนาจอย่างแท้จริง ต่อโครงสร้างอำนาจของประชาชน เมื่อประเทศต้องอยู่ในสถานะที่ “ผู้ล้มเหลวทั้งสองฝ่าย” ต่างก็ผลัดเข้ามาควบคุมอำนาจ อาการหมดสภาพที่จะก้าวต่อไปสู่ความเจริญจึงเกิดขึ้นกับประเทศของเรา แต่สารที่สื่อออกมานั้นพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.น่าจะเจตนาสื่อให้เห็นถึงความล้มเหลวของการแก้ปัญหาประเทศในยุคเผด็จการครองเมืองมากกว่า
จากตอนท้ายของจดหมายที่ระบุว่า 8 ปีที่ผ่านมาสอนให้ตนเรียนรู้และได้คิดว่า อะไรที่ดีกว่าเดิม เพื่อจะนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเป็นสิ่งที่ควรทำและจะต้องทำด้วยวิธีคิดใหม่ ๆ เพราะ “การที่จะคิดอยากได้สิ่งใหม่ ๆ โดยใช้วิธีเดิม ๆ นั้นไม่น่าจะได้ผล” เมื่อมองไปยังกระบวนการขับเคลื่อนทางการเมืองของพรรคต่าง ๆ ที่เป็นไปในเวลานี้ก็จะเห็นว่าพรรคการเมืองไหนที่ใช้วิธีการแบบเดิม ตกปลาในบ่อเพื่อนดูดคนจากพรรคของพี่ชนิดที่ไม่สำเหนียกต่อคำพูดของตัวเองที่เคยด่าว่านักการเมืองชั่วพรรคการเมืองเลวก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
ความจริงที่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.น่าจะสัมผัสได้อีกประการคงหนีไม่พ้นสัจธรรมหรือวัฏฏะของการเมือง ที่นักเลือกตั้งอาชีพเมื่อถึงฤดูกาลหย่อนบัตรก็จะหาที่เกาะซึ่งเชื่อว่าน่าจะทำให้ตัวเองมีอนาคตสดใส โดยเฉพาะการไขก๊อกของสองแกนนำพรรคสืบทอดอำนาจอย่าง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่กราบลากลับบ้านเก่าเพื่อไทยในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการยุบสภา การขยับตัวของแกนนำกลุ่มสามมิตรรอบนี้ไม่ธรรมดา เพราะมันคือคำตอบของการข่าวเกี่ยวกับการเจรจาจับมือตั้งรัฐบาลที่ว่าจบกันไปแล้วก่อนหน้านี้
อย่าลืมเป็นอันขาด คงไม่มีนักการเมืองระดับแกนนำหน้าไหนจะอ้างว่าหนีความไม่สามัคคีจากพรรคหนึ่ง แล้วไปอยู่พรรคใหญ่ที่มั่นใจว่าจะไม่แตกแยก ยิ่งพรรคใหญ่ยิ่งมีกลุ่มมุ้งสารพัด แต่หนนี้กระบวนการจัดการเรื่องการต่อรองได้มีการตกลงกันไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล ด่านสำคัญสำหรับเพื่อไทยไม่ใช่แค่ต้องแลนด์สไลด์ให้ได้เท่านั้น แม้จะได้ ส.ส.มาเป็นกอบเป็นกำแต่ถ้าไม่ได้รับไฟเขียวจากกลไกที่มีอำนาจอย่างแท้จริงก็ตั้งรัฐบาลลำบาก ท่วงทำนองของคนใช้ใจบันดาลแรงและการขยับปรับเปลี่ยนของบางคนบางพวกจึงไม่ใช่แค่เรื่องตามกระแสเท่านั้น