ส่อแววหลุด 1,500 จุด
สุดท้ายทุกคนก็ยอมรับโดยดุษฎีบัณฑิตว่า การพังครืนของแบงก์ “อเมริกา” กับ “ยุโรป” เที่ยนี้มันร้ายแรงพอ ๆ กับวิกฤติแฮมเบอเกอร์เมื่อปี 51
สุดท้ายทุกคนก็ยอมรับโดยดุษฎีบัณฑิตว่า การพังครืนของแบงก์ “อเมริกา” กับ “ยุโรป” เที่ยนี้มันร้ายแรงพอ ๆ กับวิกฤติแฮมเบอเกอร์เมื่อปี 51 ซึ่งตอนนั้นทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก และหุ้นตกกราวรูดกันอย่างถ้วนหน้าร่วมครึ่งปี ซึ่งเห็นได้จากดัชนีหุ้นไทยร่วงลงจากระดับ 800 จุด และค่อย ๆ ดำดิ่งลงสู่ระดับ 400 จุด หรือพูดให้เห็นภาพก็คือ ตกลงไปราวครึ่งหนึ่งจากที่เคยเป็นก่อนหน้านี้พะย่ะค่ะ
ถึงกระนั้นก็อย่าเพิ่งทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมมากเกินไป เพราะเมื่อดูจากภูมิต้านทานของตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า เม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศยังหมุนเวียนคล่องตัว และยังได้ลุ้นข่าวดีที่เกี่ยวกับผลงานไตรมาส 1 ของบริษัทจดทะเบียน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับแรงขายจากฝรั่งหัวทองยังไม่เบาลง และยังเป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลกับการขึ้นลงของดัชนี จึงต้องเผื่อใจทางลบไว้บ้างนะคะ
นั่นหมายความว่า ดัชนีมีโอกาสหลุดแนวรับสำคัญบริเวณ 1,500 จุดค่อนข้างสูง เพราะหุ้นใหญ่ยังมีแก๊ปให้ลงค่อนข้างเยอะ และเมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่ฝรั่งหัวทองจะขายออกมาอีกราวแสนล้าน มันทำให้เชื่อว่า จุดต่ำสุดของเที่ยวนี้ไม่น่าจะหลุดระดับ 1,400 จุด หรือแย่สุดของเรื่องราวที่เกิดจาก “แบงก์ล้ม” น่าจะยืนได้ไม่ต่ำกว่า 1,300 จุด และกลายเป็นจังหวะที่บังคับให้เล่นสั้น ๆ ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเจ้าค่ะ
ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” รู้สึกเฉย ๆ เมื่อเห็นดัชนีร่วงลงไปเรื่อย ๆ จนภาคบ่ายทรุดฮวบลงไปถึงระดับ 1,543.47 จุด แต่ในช่วง 1 ชั่วโมงสุดท้ายตีกลับขึ้นมาจากข่าว “ยุบสภา” ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 1,555.45 จุด ลบไป 8.22 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.28 หมื่นล้านบาท ก็เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยพร้อมเด้งรับข่าวดีตลอดเวลา แต่จะต้องต่อกรกับปัจจัยลบภายนอกได้นานแค่ไหน?..ก็ต้องดูกันไปเรื่อย ๆ นะนายจ๋า
คล้ายกับสถานการณ์ของ PTTEP ก็ถูกรินขายออกมาเป็นช่วง ๆ และพยายามตีตื้นขึ้นมาเป็นรอบ ๆ แต่สุดท้ายทิศทางของหุ้นก็เป็นไซด์เวย์ดาวน์ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดที่ระดับ 136 บาท ลบไป 4.50 บาท หรือลงไป 3.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.04 พันล้านบาท ท่ามกลาง PE 8 เท่าแบบนี้ มันเป็นระดับที่น่าลงทุนเหลือหลาย แต่เมื่อดูผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ไหลลงเรื่อย ๆ ก็คงไม่คุ้มกับความเสี่ยงนะจ๊ะ
เช่นเดียวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหุ้น FORTH ก็มีอะไรที่คล้ายกับรายข้างต้นพอสมควร แต่ที่ดูแย่กว่าอย่างเห็นได้ชัด คงเป็นเรื่องของค่า PE 38 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับสถานการณ์ตลาดหุ้นเวลานี้ “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นประเมินการลงมาทำ “ดับเบิ้ลโลว์” ตรงราคาปิดที่ระดับ 31 บาท ลบไป 1.25 บาท หรือลงไป 3.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 98 ล้านบาท มีโอกาสที่จะทำให้หุ้นกลับทิศเป็นขาขึ้นไหมเอ่ย!
ไหน ๆ ก็เม้าท์ถึงเรื่อง “ดับเบิ้ลโลว์” ขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอยกเคสของหุ้น KTC เพื่อชี้ให้เห็นว่า พอราคาหุ้นลงมาแตะปุ๊บ ราคาหุ้นก็เด้งกลับได้แป๊บหนึ่ง ต่อจากนั้นก็ลงใหม่แบบนี้ มันเป็นเกมที่บีบหัวใจคนเล่นสั้นอย่างแท้จริง! หลังราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ 52.25 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 1.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 224 ล้านบาท ท่ามกลางบรรยากาศซวนเซจนหาทางกลับบ้านไม่เจอ..มันเป็นเรื่องที่น่าหนักใจสำหรับคนจะซื้อสวนนะคะ
ส่วนนักลงทุนที่มีความคิดจะเล่นยาว ๆ และมีเงินปันผลติดปลายนวมทุกปี “โมนิก้า” ขอแนะนำให้หันไปดูหุ้น TU เพื่อเป็นกรณีศึกษาดีกว่า เพราะในมุมของผลงานที่ทำได้ในแต่ละปี ก็ถูกจัดให้อยู่ในระดับใช้ได้ และการที่ราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 14.50 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 255 ล้านบาท โดยมียีลด์ 5.80% เป็นของแถมแบบนี้..มันกลายเป็นทางเลือกลำดับต้น ๆ ของการลงทุนเที่ยวนี้เจ้าค่ะ
สำหรับคนที่พร้อมเล่นกับเกมเสี่ยงแบบสุดซอย “โมนิก้า” คงต้องเอ่ยถึงหุ้น XPG ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะการกระชากขึ้นมาปิดที่ระดับ 1.14 บาท บวกไป 0.22 บาท หรือขึ้นไป 23.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 350 ล้านบาท พร้อมกับมีการอ้างอิงราคาบิตคอยน์ทะยานขึ้นไม่หยุด และกำลังเข้าใกล้ระดับสามหมื่นเหรียญฯ มันเป็นเกมตีหัวเข้าบ้านเหมือนก่อนหน้านี้ทุกประการ หลังจากนั้นคงกลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่า ด้วยการขายกองทุนเหมือนเดิม..ไม่เชื่อก็ดูกันต่อไป..อิอิอิ