SABUY บวกต่อ 3% ส่งซิกผลงาน Q1 แจ่ม ดันรายได้ปีนี้พุ่ง 2 หมื่นล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 มี.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY ณ เวลา  12:14 น. อยู่ที่ระดับ 12.30 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 3.36% สูงสุดที่ระดับ 12.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 12.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 275.66 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้นายณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชีและการเงิน SABUY เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2566 น่าจะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 735 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 107.3 ล้านบาท และจะเติบโตจากไตรมาสก่อนที่มีรายได้รวม 2,492 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 518 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการ synergy ร่วมกับบริษัทต่าง ๆ ที่ SABUY เข้าไปลงทุนในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับในปี 2566 บริษัทยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด โดยวางเป้าหมายจะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท หรือเติบโต 4 เท่าตัว จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 5,325 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการได้ synergy ร่วมกับบริษัทต่าง ๆ ที่ SABUY ได้เข้าลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2566 จะเป็นปีที่เริ่มเก็บเกี่ยวผลจากการลงทุนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

โดยสัดส่วนรายได้รวมในปี 2566 จะมาจาก 6 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย 1.ธุรกิจ Machine/Kiosk จำนวน 2,900 ล้านบาท,2.ธุรกิจ Consumer Merchandising จำนวน 3,200 ล้านบาท,3.ธุรกิจ Drop-Off Shop & Service จำนวน 3,300 ล้านบาท,4.ธุรกิจ Solution & Platform จำนวน 3,500 ล้านบาท,5.ธุรกิจ Financial Service จำนวน 1,000 ล้านบาท และ 6.ธุรกิจ Innotainment & Infrastructure จำนวน 6,000 ล้านบาท

“SABUY เราเป็นศูนย์กลางของการทำธุรกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งในรูปแบบ B2B และ B2C โดยเรามีแพลตฟอร์มที่ครบวงจร โดยการเชื่อมทุกมิติของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบัน SABUY มีการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพรวมกว่า 50 บริษัท และเรากำลังปรับตัวเองไปสู่การเป็น Investment Holding เพื่อสร้าง Ecosystem ของ SABUY ให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าการเติบโตของ SABUY ส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนด้วย” นายณรงค์ชัย กล่าว

นายณรงค์ชัย กล่าวต่อว่า ในปี 2566 บริษัทวางงบลงทุนรวมไว้ที่ 10,000 ล้านบาท โดยจะลงทุนใน 5 กลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้าง Ecosystem ของ SABUY ให้ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1.กลุ่ม Smart Solution (สมาร์ตโซลูชัน),2.กลุ่ม Payments (การชำระเงิน),3.กลุ่ม Touchpoints (จุดพบเจอกับผู้บริโภค),4.กลุ่ม Commerce (กลุ่มพาณิชย์) และ5.กลุ่ม Financial Services (บริการทางการเงิน)

ทั้งนี้ การลงทุนใน 5 กลุ่มดังกล่าว จะมีทั้งบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเป็นบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจากนี้ไปดีลลงทุนจะมีจำนวนน้อยลง แต่ขนาดของดีลจะใหญ่ขึ้น เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในการทำงาน

ส่วนการลงทุนในบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER บริษัทยังมีความสนใจอยู่ แต่จะต้องมีการนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายนนี้อีกครั้งจึงจะสามารถสรุปได้ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ขณะที่การเข้าลงทุนเพิ่มในบริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SVT ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป