ทริสฯจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ 1,000 ลบ.ของ LOXLEY ที่ “A-/Stable”
ทริสฯจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ 1,000 ลบ.ของ LOXLEY ที่ "A-/Stable"
ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ มีการค้ำประกันบางส่วนในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ LOXLEY ที่ระดับ “A-” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB+” โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่”
ทั้งนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่จะใช้ทดแทนอันดับเครดิตหุ้นกู้มูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาทที่ประกาศไปเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2558 เนื่องจากบริษัทตัดสินใจขยายกำหนดการไถ่ถอนหุ้นกู้จากภายในปี 2563 เป็นภายในปี 2565 ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวค้ำประกันโดยธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งธนาคารกสิกรไทยจะค้ำประกันการจ่ายเงินในสัดส่วน 45% ของมูลค่าหุ้นกู้ หรือในวงเงินไม่เกิน 450 ล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินส่วนใหญ่ที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ชำระคืนหนี้ระยะยาว ในขณะที่เงินส่วนที่เหลือจะสำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียน
อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงการมีธุรกิจที่หลากหลายและความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานทั้งกับลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายของบริษัท การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความสม่ำเสมอของกระแสเงินสดจำนวนมากที่ได้รับจากเงินปันผลจากบริษัทร่วมที่มีผลกำไรด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่ค่อนข้างต่ำและมีความผันผวนของรายได้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากงานโครงการ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะการแข่งขันในการประมูลงานและสร้างรายได้จากงานโครงการในระดับที่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ บริษัทจะยังคงได้รับประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและได้รับผลตอบแทนจากบริษัทร่วมที่สร้างกำไร ทั้งนี้ บริษัทยังไม่มีโอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้ายกเว้นในกรณีที่บริษัทสามารถปรับปรุงอัตราการทำกำไรและการลงทุนของบริษัทได้รับผลตอบแทนอย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากรายได้ของบริษัทปรับลดลงอย่างมาก รวมทั้งอัตราการทำกำไรของบริษัทปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือเงินปันผลรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สถานะทางธุรกิจของบริษัทอยู่ในระดับที่น่าพอใจเนื่องจากบริษัทมีแหล่งรายได้จากหลายธุรกิจซึ่งช่วยลดความผันผวนของรายได้ลง บริษัทก่อตั้งในปี 2482 โดยประกอบธุรกิจที่หลากหลายผ่านการถือหุ้นทั้งหมดหรือถือหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทย่อยต่าง ๆ บริษัทให้บริการและจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายโดยแบ่งสายธุรกิจหลักออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) สายธุรกิจเทคโนโลยี (2) สายธุรกิจการค้า และ (3) สายธุรกิจบริการ บริษัทเป็นทั้งผู้ให้บริการเองและลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าหลายแห่ง โดยบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าช่วยขยายขอบเขตกิจการของบริษัทออกไปในหลาย ๆ ธุรกิจ เช่น การผลิตและจำหน่ายน้ำมันเครื่อง เหล็กแผ่นเรียบเคลือบโลหะและเคลือบสี สายใยแก้วนำแสง รวมทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และอื่น ๆ
รายได้จากสายธุรกิจเทคโนโลยีโดยเฉลี่ยคิดเป็นประมาณ 70% ของรายได้ทั้งหมดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อรับมือกับความผันผวนของรายได้และกำไรของงานโครงการ บริษัทจึงพยายามสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ๆ โดยปัจจุบันรายได้ประจำของบริษัทมาจากสายธุรกิจการค้าและสายธุรกิจบริการซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 32-36% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
อันดับเครดิตของบริษัทยังพิจารณาถึงความสัมพันธ์ที่ยาวนานทั้งกับลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายด้วยเช่นกัน โดยบริษัทมีชื่อเสียงที่ดีในการประกอบธุรกิจโดยเฉพาะจากผลงานที่ประสบความสำเร็จในกลุ่มลูกค้าภาครัฐหลายแห่ง บริษัทมีคณะผู้บริหารและพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ โดยพนักงานของบริษัทผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีและมีความสามารถในการให้บริการและจำหน่ายสินค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมอย่างมีคุณภาพในระดับสูง นอกจากนี้ การมีความชำนาญทางเทคนิคระดับสูงของพนักงานยังช่วยสร้างนวัตกรรมหรือเพิ่มโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ ให้แก่บริษัทอีกด้วยแม้ว่าจะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านพนักงานอยู่ในระดับสูงก็ตาม ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวช่วยให้บริษัทสามารถชนะการประมูลงานภาครัฐจำนวนมากได้อยู่เสมอ
บริษัทได้รับเงินปันผลในระดับที่น่าพอใจจากบริษัทร่วมที่สร้างกำไร โดยบริษัทร่วมหลักเกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัทกับ บริษัท บีพี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ บริษัท บลูสโคปสตีล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กชั้นแนวหน้าซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในประเทศออสเตรเลีย โดยเงินปันผลเป็นแหล่งกระแสเงินสดที่แน่นอนและสม่ำเสมอของบริษัทเนื่องจากบริษัทร่วมมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและมีผลประกอบการทางการเงินที่ดีมาก
ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตของบริษัทก็ถูกลดทอนลงจากการที่บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำและมีรายได้ที่ผันผวน ผลการดำเนินงานของบริษัทส่วนใหญ่มาจากงานโครงการโดยเฉพาะในสายธุรกิจเทคโนโลยีซึ่งขึ้นอยู่กับโครงการของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ อัตรากำไรของงานโครงการดังกล่าวจึงค่อนข้างต่ำเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งโครงการของภาครัฐส่วนใหญ่จะต้องมีการประมูลแข่งขันกัน จึงส่งผลให้รายได้ของบริษัทขึ้นอยู่กับงบประมาณรายจ่ายและโครงการใหม่ ๆ ของภาครัฐ ดังนั้นงานของบริษัทจึงมีความเสี่ยงต่ำในการผิดนัดชำระเงินแต่ก็มีอัตราการทำกำไรที่ต่ำด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ การประมูลงานโครงการภาครัฐอาจเกิดความล่าช้าหรืออาจมีการยกเลิกซึ่งยิ่งสร้างความผันผวนให้แก่รายได้มากขึ้น นอกจากนี้ ทั้งบริษัทและคู่แข่งที่ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารยังจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีซึ่งส่งผลให้สินค้าหรือบริการบางอย่างอาจล้าสมัยได้
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 รายได้ของบริษัทปรับตัวลดลง 21% สู่ระดับ 8,056 ล้านบาทเนื่องจากความล่าช้าของโครงการภาครัฐ อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายด้านพนักงานสูง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทขาดทุนจากการดำเนินงานที่ระดับ 1.7% เนื่องจากรายได้ปรับตัวลดลง
ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง โดยหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นเงินกู้สำหรับโครงการ ภาระหนี้มักเพิ่มขึ้นเมื่อบริษัทได้งานโครงการใหม่ ๆ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 3,017 ล้านบาท ส่วนอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ระดับ 32.3% ในช่วงปี 2559-2561 บริษัทมีแผนในการลงทุนปีละ 180 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 30%
สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้จากเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม โดยเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทซึ่งหักกำไรส่วนได้เสียจากบริษัทร่วมและบวกเงินปันผลอยู่ที่ระดับประมาณ 700 ล้านบาทในปี 2556-2557 สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ระดับ 133 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทลดลงจาก 26.9% ในปี 2557 เป็น 15.5% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายนั้นปรับตัวลดลงจาก 5.3 เท่า เป็น 2.4 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 508 ล้านบาทและเงินลงทุนชั่วคราวจำนวน 403 ล้านบาท บริษัทมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ประมาณ 2,132 ล้านบาท โดยในช่วง 12 เดือนข้างหน้าบริษัทมีภาระในการชำระหนี้ระยะยาว 113 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 2,008 ล้านบาทโดยเป็นเงินกู้ยืมสำหรับงานโครงการจำนวน 1,221 ล้านบาท
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทในปี 2558 จะปรับตัวลดลงราว 15% เนื่องจากความล่าช้าของงานภาครัฐ ดังนั้น คาดว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน โดยที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะปรับตัวลงสู่ระดับ 10% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3 เท่า ในระหว่างปี 2559-2561 คาดว่ารายได้ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 14,000-17,000 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 1%-2% ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลจำนวน 500-600 ล้านบาทต่อปีจากการลงทุน ทริสเรทติ้งประเมินว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับ 20% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับสูงกว่า 5 เท่า