TEGH ส่งซิกไตรมาส 1 โตแกร่ง! ตุนออเดอร์ยอดขาย “ยางพารา” ถึง ก.ค. ดันรายได้ปีนี้โต 10%
TEGH ส่งซิกไตรมาส 1/66 โตต่อเนื่อง รับปริมาณยางพาราเพิ่ม ตุนออเดอร์ยาวถึงเดือนก.ค.66 เตรียมเซ็นสัญญาขายไบโอแก๊สลูกค้ารายใหญ่ไตรมาส 2/66 พร้อมตั้งเป้ารายได้ 3 ปี แตะ 2.2 หมื่นล้านบาท เดินหน้าขยาย 3 ธุรกิจเต็มสูบ
นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 66 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนมีรายได้รวม 15,460 ล้านบาท เป็นไปตามการขยายตัวของ 3 สายธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ, ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์
ทั้งนี้จากปริมาณขายที่เติบโตขึ้น ส่งผลทำให้เป้าหมายรายได้ที่คาดจะเติบโตแตะ 22,000 ล้านบาทในปี 69 น่าจะทำได้เร็วกว่าแผนที่วางไว้ด้วย
ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ คาดปริมาณการขายเติบโต 10% เนื่องจากในปี 2566-2567 บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตยางแท่งรวม 110,000 ตัน แบ่งเป็นปีนี้จะขยายประมาณ 75,000 ตัน และปี 2567 จะขยายกำลังการผลิตอีกประมาณ 35,000 ตัน ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตของยางแท่งเพิ่มขึ้นจากเดิม 320,000 ตันต่อปี เป็น 430,000 ตันต่อปี
ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายปาล์มน้ำมัน คาดปริมาณการขายปาล์มน้ำมันโต 10% และน้ำมันเมล็ดในปาล์มโตราว 30-40% จากการปรับประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มความสามารถในการรับผลผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ในปี 2566 คาดจะเติบโตขึ้น 40% จากโครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ ระยะที่ 1 คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในไตรมาส 2/66 ทำให้บริษัทสามารถรองรับปริมาณกากอินทรีย์ได้ได้เพิ่มขึ้นอีกวันละ 300 ตัน รวมเป็นความสามารถในการรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ทั้งหมด 720,000 ตันต่อปี และผลิตก๊าซชีวภาพได้เพิ่มขึ้นอีกวันละ 30,000 ลูกบาศก์เมตร ทำให้มีกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพรวมเป็น 34 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2/66 บริษัทเตรียมประกาศการลงนามความเข้าใจร่วมกัน (MOU) กับลูกค้ารายใหญ่ ในการซื้อขายไบโอแก๊ส ซึ่งเป็นสัญญาระยะยาว และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด รวมถึงการเพิ่มมาตรฐานตามการเปลี่ยนแปลงของมาตรฐานหลายด้าน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ และลูกค้ากลุ่มยุโรป เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทยังได้วางงบลงทุนในช่วง 66-69 ไว้ที่ 1,400 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้จะใช้งบราว 600-700 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตจากธุรกิจหลัก (Organic Growth) และการร่วมทุนด้วยการดึงลูกค้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (Partnership) รวมถึงการต่อยอดกำลังการผลิตทุกภาคส่วน
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 มีโอกาสจะออกมาดี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/65 ตามแผนงานที่วางไว้ แม้ว่าราคาขายยางจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่ทุกธุรกิจยังมีการขยายตัวที่ดี โดยเฉพาะในส่วนของยางพาราที่มีปริมาณการขายมากขึ้นตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งซื้อ (Order) ยาวไปถึงเดือน ก.ค.66 แล้ว
นางสาวสินีนุช กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตยางแท่งที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) รายแรกของประเทศไทย โดยในปีนี้จะเริ่มมีการซื้อและขายคาร์บอนเครดิต หลังนำโครงการผลิตพลังงานทดแทนไปขึ้นทะเบียนขอใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) ที่เนเธอร์แลนด์ คาดภายในสิ้นปีนี้จะได้รับใบรับรองออกมา และเตรียมยื่นขอขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER ในปีนี้ โดยเบื้องต้นจะทำการซื้อ-ขายภายในกลุ่ม TEGH ก่อน