สุดยอดประชานิยม
ถึงแม้ว่า เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งกลายเป็นตำบลกระสุนตกหลังจากที่ประกาศนโยบายให้เงินผ่านกระเป๋าดิจิทัลกับประชาชนทุกคนที่มีอายุเกิน 16 ปีคนละ 10,000 บาท
ถึงแม้ว่านายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งกลายเป็นตำบลกระสุนตกหลังจากที่ประกาศนโยบายให้เงินผ่านกระเป๋าดิจิทัลกับประชาชนทุกคนที่มีอายุเกิน 16 ปีคนละ 10,000 บาท ได้ยืนยันว่าจะไม่ใช้เงินกู้แต่จะใช้เงินจากงบประมาณปกติจากที่เก็บภาษีได้เพราะสามารถบริหารจัดการได้ แต่เงิน 500,000 ล้านบาท ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ คิดเป็น 2.87% ของจีดีพีของประเทศปี 2565 ที่สภาพัฒน์ระบุว่ามี 17.4 ล้านล้านบาท และคิดเป็น 15.7% ของงบประมาณแผ่นดินของปี 2566 ที่ตั้งไว้ 3.18 ล้านล้านบาททีเดียว ดังนั้นหากประเมินกันอย่างคร่าว ๆ โดยที่รัฐบาลไม่ต้องขึ้นภาษีให้กระทบประชาชน มี 2 วิธีที่ทำได้
1.ทำงบประมาณแบบขาดดุลในปี 2567 ไปก่อนโดยตั้งความหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวจากการอัดเงินปั๊มหัวใจในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 จึงจะทำให้งบประมาณกลับมาสมดุลหรือขาดดุลน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้แต่แรก
2.หารายได้จากการขายสมบัติของรัฐบาลด้วยการ แปรรูปรัฐวิสาหกิจและผลักดันเข้าเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งทำได้ทันที 3 รัฐวิสาหกิจคือ ไปรษณีย์ไทย TOT และแคท เทเลคอมซึ่งแต่งตัวรอไว้นานแล้ว หรือไม่ก็จัดสรรขายคลื่นที่มีอยู่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรของ MCOT TOT และแคท เทเลคอม มอบให้กสทช.เปิดประมูลให้แก่ผู้ที่สนใจต่อไป
รายได้จาก VAT ที่เพิ่มขึ้นมหาศาลจากการทุ่มเงิน 500,000 ล้านบาทและรายได้จากการแปรรูปและขายสมบัติชาติที่ไม่มีประโยชน์นี้อาจทำให้ปิดงบประมาณในปี 2567 และ 2568 ได้สวยงามยิ่งขึ้นเหมือนที่ทักษิณได้เคยทำไว้เมื่อปี 2547 และ 2548 ที่เกินดุลแม้จะใช้นโยบายประชานิยมก็ตาม
ในกรณีที่พรรคเพื่อไทยทำได้ตามที่นายเศรษฐาประกาศไว้สำเร็จจะถือว่าเป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ของโลกที่รัฐบาลทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเกิน 5% โดยไม่ต้องขึ้นภาษีให้ประชาชนเดือดร้อน ทำให้ประเทศไทยพ้นจากยุคสโลไลฟ์ที่รัฐบาลประยุทธ์ทำไว้
ตี๊ต่างว่าปัจจัยแวดล้อมไม่สนับสนุน เช่น VAT ไม่เพิ่มขึ้นมากหรือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทำได้ล่าช้าเพราะสหภาพแรงงานไม่เอาด้วย หรือว่าการขายสมบัติชาติหาคนซื้อไม่ได้ อีกทางหนึ่งคือการออกพันธบัตรเงินกู้หรือพันธบัตรรัฐบาลซึ่งต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปในอัตราดอกเบี้ย 2.5-3% ต่อปีในรูปของ perpetual bond ซึ่งถือว่าได้รับความสนใจมากในตลาดเพราะอัตราดอกเบี้ยนี้ไม่ถือว่าถูกหรือแพงและไม่ทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อโดยผู้ที่ถือพันธบัตรรัฐบาลนี้จะได้รับประโยชน์สองทางในรูปของการบันทึกบัญชีในส่วนของผู้ถือหุ้นที่เป็นนิติบุคคลและไม่ต้องเสียภาษีรายได้จากดอกเบี้ยที่ได้รับ
เท่ากับว่าเงินที่จะทุ่มออกมา 500,000 ล้านบาท นี้จะไม่เป็นปัญหาเรื้อรังในระยะยาว
ในกรณีที่เป็นทางเลือกที่สามอาจทำให้คนนึกภาพในทางเลวร้ายว่ารัฐบาลอาจพาประเทศไปตกกับดักแห่งหนี้ซึ่งมีทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ก้ำกึ่งกัน เพียงแต่ขอย้ำว่าเป็นสูตรที่เสี่ยงแต่มีเสน่ห์มากเกินกว่าจะมองข้ามไป
คนไทยต้องใช้วิจารณญาณเอาเองว่าจะยอมรับข้อเสนอของทักษิณและพวกที่ยักย้ายถ่ายเทเงิน 10,000 บาทต่อหัวจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวาโดยทักษิณไม่ต้องจ่ายเงินแม้บาทเดียว หรือยอมรับคนดีมีคุณธรรมแบบประชาธิปัตย์ หรือคนที่ต้องการปราบคนชังชาติแบบบิ๊กตู่
วันที่ 14 พฤษภาคือวันตัดสิน