ฝรั่งพาเสียว
การกลับเข้ามาของฝรั่งหัวทองกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” รู้สึกเสียวซ่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบเดือนกว่า ๆ
การกลับเข้ามาของฝรั่งหัวทองกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” รู้สึกเสียวซ่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบเดือนกว่า ๆ เพราะสิ่งที่เห็นเที่ยวนี้มันขัดแย้งกับพฤติกรรมที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจอเมริกาที่ถดถอย และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่ยังดำเนินต่อไป หรือแม้กระทั่งเรื่องสงครามที่ยังลากยาว ล้วนเป็นแรงกดดันที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติหาจังหวะขายหุ้นเมื่อยกตัวสูงขึ้นเจ้าค่ะ
ในขณะเดียวกันหากมองปัจจัยภายในของประเทศไทยควบคู่กันไปก็จะเห็นว่า ทุกอย่างกำลังดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งในเรื่องของการท่องเที่ยว หรือเศรษฐกิจที่มีเม็ดเงินสะพัดขึ้นกว่าปีก่อน (เฉพาะสงกรานต์คาดจะมีเม็ดเงินสะพัดราวแสนล้าน) รวมทั้งโครงการลงทุนใหม่ ๆ ของภาครัฐ และภาคเอกชน ถือเป็นเกราะป้องกันชั้นยอดสำหรับตลาดหุ้นไทย และทำให้ดัชนีประคองตัวได้ต่อไปนะคะ
ฉะนั้นการที่ดัชนีแกว่งตัวไปมา ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 1,597.10 จุด บวกไป 3.97 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.60 หมื่นล้านบาท ย่อมเป็นภาพการลงทุนที่ทำให้หลายคนสบายใจ เพราะโมเมตัมของตลาดหุ้นไทยยังไม่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง และยังมีโอกาสเห็นดัชนีไต่ระดับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่สูงกว่า “โมนิก้า” ถึงเชื่อว่า การเคลื่อนตัวของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ภายใต้อิทธิพลต่างชาติเหมือนเดิมนะออเจ้า
เหมือนกับการขยับตัวของหุ้นลูกอ๊อด AOT ที่ออกลูกเหมือนจะไปต่อ แต่ก็ไปไม่สุดเหมือนก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นผลมาจากฝรั่งไม่ลุยสุดซอยก็เท่านั้นเอง..วานนี้ถึงเห็นราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 72.75 บาท บวกไป 0.25 บาท หรือขึ้นไป 0.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.18 พันล้านบาทแบบอ่อนระทวย แต่ถ้ามองภาพให้ยาวขึ้นกว่าเดิม..หุ้นน่าจะไปต่อสบาย ๆ เพราะยอดนักท่องเที่ยวขยับจาก 10 ล้านคนขึ้นมาเป็น 28 ล้านคนในปีนี้ และปีหน้าจะขึ้นไป 40 ล้านคน..หุ้นจะไม่ไปได้อย่างไรล่ะจ๊ะ
เช่นเดียวกับอาการอืดเป็นเรือเกลือของพานทองแท้ PTT ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากฝรั่งไม่ลุยอีกเช่นกัน และสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้หุ้นไปต่อไม่ไหวก็มาจากราคาน้ำมันยังอยู่ในช่วงขาลง จึงอนุมานได้ทันทีว่า กำไรไม่โต! ซึ่งเป็นเรื่องที่นักเล่นทุกกลุ่มหวาดระแวงอย่างหนัก วันนี้จึงเห็นหุ้นยืนได้แค่ปิดเสมอตัวที่ระดับ 31.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.06 พันล้านบาทไงล่ะคะ
เม้าท์ถึงเรื่องกำไรไม่โตขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” คงต้องมองไปที่เจ้าพ่อสื่อสาร ADVANC เป็นรายถัดมา เพราะตัวเลขมันฟ้องให้เห็นตั้งแต่ปี 62 ที่ทำกำไรได้ 3.11 หมื่นล้านบาท ต่อมาในปี 63 ลดเหลือ 2.74 หมื่นล้าน ส่วนในปี 64 ถอยหลังมาที่ 2.69 หมื่นล้าน และในปี 65 เหลือ 2.60 หมื่นล้าน แถมในปีนี้ต้องเผชิญกับสงครามราคาอีกชุดใหญ่ เดี๊ยนเลยไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นยืนได้แค่ระดับ 213 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 0.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 673 ล้านบาทเจ้าค่ะ
คล้ายคลึงกับสถานการณ์ของ PTTGC ซึ่งถูกนักลงทุนสถาบันรินขายออกมาเป็นระลอกในช่วงที่ผ่านมา ก็มาจากความกังวลที่ว่า ปีนี้จะคัมแบ็คไหม? เพราะองค์ประกอบหลายอย่างยังไม่ชี้ชัดว่า ฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม “โมนิก้า” ถึงเข้าใจเหตุผลที่ฝรั่งซุ่มขายหุ้นออกมาเรื่อย ๆ แต่มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อหุ้นไหลลงมาถึงจุดเด้งที่บริเวณ 43 บาท จะวิ่งกลับขึ้นไปหาแนวต้านแรกที่บริเวณ 47 บาทไหม? และมีโอกาสทะยานขึ้นไปยืนเหนือ 50 บาทเหมือนเที่ยวก่อนไหม? ล้วนเป็นเรื่องที่นักเล่นต้องประเมินกันเอาเองว่า การยืนปิดที่ 44.25 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 1.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 561 ล้านบาท น่าเสี่ยงขนาดไหน?..อิอิอิ
สถานการณ์ข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” นึกถึงหุ้นสะดวกซื้อย่าง CPALL ขึ้นมาทันที เพราะหลายครั้งที่เชื่อว่า ฟื้นตัวทีไร..เอาเข้าจริงก็บ้อท่า ผนวกกับธุรกิจเดินมาถึงจุดอิ่มตัวพอดี ทุกอย่างเลยไม่ปังเหมือนที่โม้ไว้ และทำให้วงรอบเล็กของการแกว่งตัวอยู่ที่ระดับ 60-64 บาท ขณะเดียวกันก็ต้องลุ้นกำไรไตรมาส 1 จะออกมาดีอีกด้วยแบบนี้ เดี๊ยนถึงมองว่า การยืนปิดที่ 62 บาท บวกไป 0.25 บาท หรือขึ้นไป 0.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 895 ล้านบาท อาจไม่คุ้มกับการรอคอยเจ้าค่ะ
ตบท้ายกันที่ของร้อนอย่างหุ้น ZIGA กันดีกว่า หลังขาลุยกระโจนเข้าใส่มือเป็นระวิง เพียงเพราะราคาบิตคอยน์ทะยานขึ้นทะลุสามหมื่นเหรียญฯ แบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเกมการเล่นที่ถูกต้องทุกประการ และไม่มีอะไรติดค้างในใจสักนิดเดียว แต่ก็อยากเตือนให้รู้ว่า เกมนี้อาจไม่ยาว เพราะต้องขึ้นอยู่กับราคาบิตคอยน์จะไปต่อไหม? หากไม่ไปต่อเหมือนที่คาดหวัง อาจทำให้การยืนปิดที่ระดับ 3.26 บาท บวกไป 0.14 บาท หรือขึ้นไป 4.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 132 ล้านบาท อาจเป็นราคาดอยก็ได้นะตัวเอง..อิอิอิ