OR บวก 3% เก็งงบ Q1 สดใส รับค่าการตลาดกลับสู่ปกติ-ปริมาณขายน้ำมันโต
OR บวก 3% เก็งงบ Q1/66 สดใส รับค่าการตลาดกลับสู่ปกติ-ปริมาณขายน้ำมันโตตามการบริโภคฟื้นตัว ตั้งงบลงทุนปีนี้ 3.1 หมื่นล้าน ลุยขยายธุรกิจเต็มสูบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(18เม.ย.66) ราคาหุ้นบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ณ เวลา 11:18 น. อยู่ที่ระดับ 22.50 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 3.21% ราคาสูงสุด 22.80 บาท ราคาต่ำสุด 21.90 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 977.57 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้ น.ส.วิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน OR เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/66 จะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/65 หลังจากค่าการตลาด (Marketing margin) กลับมาสู่ภาวะปกติที่ราว 0.70-1.30 บาท/ลิตร รวมถึงปริมาณขายน้ำมันก็เพิ่มขึ้นรับการเปิดประเทศและการบริโภคฟื้นตัว
ขณะที่ผลงานทั้งปี 66 มั่นใจว่าจะเติบโตดีกว่าปีก่อน โดยประเมินปริมาณขายน้ำมันจะสอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ที่คาดว่าจะเติบโตราว 2.7-3.7% หลังจากการเปิดประเทศคาดนักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามาในปีนี้ราว 28 ล้านคน และเงินเฟ้อคาดว่าจะชะลอตัวลงเหลือ 2.5-3.5% รวมถึงการเลือกตั้งหนุนบรรยากาศทางเศรษฐกิจด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครนที่อาจส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันผันผวน เบื้องต้นยังประเมินราคาน้ำมันปี 66 เฉลี่ยที่ 80-87 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
โดยในปีนี้บริษัทจะใช้เงินลงทุน 31,200 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนใน Lifestyle ผ่านการหาพาร์ทเนอร์ หรือการร่วมลงทุน (M&A) ในวงเงิน 14,200 ล้านบาท และอีก 5,000 ล้านบาท ใช้ขยาย Cafe Amazon เพิ่มอีก 400 แห่ง , Texas Chicken อีก 12 แห่ง และอื่นๆ
ด้านการลงทุนในธุรกิจ Mobility แบ่งเป็น ใช้ขยายสถานีให้บริการปั๊มน้ำมัน (PTT Station) 122 แห่ง ,ใช้ขยายสถานีชาร์ทรถพลังงาน (EV Station) อีก 500 แห่ง เพื่อหวังขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจดังกล่าว วงเงิน 6,800 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจ Innovation & New business ราว 5,200 ล้านบาท เพื่อหาโอกาสการลงทุนใหม่และแพลตฟอร์ม เทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจหลัก
สำหรับรายการลูกหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากภาครัฐ มาจากการคงค้างการชำระคืนเงินกองทุนน้ำมัน อย่างไรก็ตาม เงินกองทุนน้ำมันค้างรับที่ภาครัฐมีการค้างไว้กับ OR เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น จากสิ้นปี 65 รัฐบาลคืนเงินมาบางส่วน ทำให้เงินคงค้างชำระลดลงมาอยู่ที่ราว 30,000 ล้านบาท และลดลงต่อเนื่องจนต้นเดือน มี.ค.66 เหลือประมาณ 20,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐได้รับเงินกู้จากสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) มาทยอยคืนให้ภาคเอกชน