กฟน. ชี้ร้อนจัดทุก 1 องศา แอร์ทำงานหนักขึ้น 3% ดันค่าไฟแพง
"การไฟฟ้านครหลวง" ชี้แจงสาเหตุค่าไฟสูงขึ้น เป็นผลจากสภาพอากาศมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศา ส่งผลให้แอร์ทำงานหนัก ดันค่าไฟพุ่ง 3% แนะประชาชนหมั่นล้างแอร์ปีละ 2 ครั้ง และเปิดพัดลมเพิ่ม จะช่วยทำให้ประหยัดค่าไฟ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้ออกมาชี้แจงรายละเอียดถึงเหตุผลที่ค่าไฟพุ่งขึ้นสูง ทั้งๆ ที่ชาวบ้านทั่วไปอาจจะใช้ไฟเท่าเดิมนั่นก็เพราะว่าการที่สภาพอากาศมีอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส จะส่งผลทำให้ต้องเพิ่มค่าไฟถึง 3%
โดยเฉพาะเครื่องทำความเย็นประเภทต่างๆ จะกินไฟเพิ่ม ถึงแม้ว่าจะใช้เท่าเดิม ทั้งจำนวนชิ้น และระยะเวลาการเปิดใช้ นั่นก็เนื่องจากหลักการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทนี้ จะพยายามทำความเย็น หรือ ทำอุณภูมิให้เท่ากับที่ตั้งค่าไว้ จนส่งผลให้ไม่ว่าจะเป็นแอร์ หรือ ตู้เย็น ต้องทำงานหนักไปด้วย เนื่องจากต้องรับความเย็นให้คงที่โดยไม่ตัดเลยถึงใช้เวลาเท่าเดิมอย่างไรอัตราการใช้ไฟฟ้าก็เพิ่มกว่าปกติ
ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ทางการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้ยกตัวอย่างการเปรียบเทียบให้เข้าใจมากขึ้น โดยหากย้อนไปดูหน่วยการใช้ไฟฟ้าเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ขณะนั้นอุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศจะอยู่ที่ 18-23 องศาเซลเซียส และเดือนมีนาคม 2566 ที่บางวันอุณหภูมิเพิ่มขึ้นไป 38-40 องศาเซลเซียส ซึ่งต่างกันถึง 20 องศาเซลเซียส โดยสูตรคำนวณตามสูตรของการไฟฟ้านครหลวง ที่ได้มีการทดสอบการทำงานของแอร์ 1 ตัว ขนาด 12,000 บีทียู เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส จะทำให้อัตราการกินไฟเพิ่มขึ้นประมาณ 3%
พร้อมกันนี้ได้มีการอธิบายเพิ่มเติม โดยยกตัวอย่างการทดสอบตั้งเครื่องปรับอากาศอุณภูมิภายในห้องที่ 26 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิภายนอกห้อง 35 องศาเซลเซียสต่อเนื่อง พบว่าจะใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย 0.69 หน่วยต่อชั่วโมง และหากคำนวณเป็นค่าไฟฟ้าในอัตราเฉลี่ยหน่วยละ 3.9 บาท ก็จะทำให้เสียค่าไฟฟ้าประมาณ 2.69 บาทต่อชั่วโมง
หากสมมุติว่าอุณหภูมิภายนอกห้องเพิ่ม 6 องศาเซลเซียส เป็น 41 องศาเซลเซียสต่อเนื่อง ทำให้เครื่องปรับอากาศดังกล่าวจะใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย 0.79 หน่วยต่อชั่วโมง หรือเครื่องปรับอากาศจะใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 14% นั่นเอง และจะทำให้เสียค่าไฟฟ้าประมาณ 3.08 บาทต่อชั่วโมง
ดังนั้นจากค่าไฟฟ้าที่แตกต่างกัน หากสมมุติการใช้งานเครื่องปรับอากาศเป็นระยะเวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน นาน 30 วัน การใช้เครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิภายนอกห้อง 35 องศาเซลเซียส จะมีค่าไฟฟ้าประมาณ 646 บาท และการใช้เครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิภายนอกห้อง 41 องศาเซลเซียส จะมีค่าไฟฟ้าประมาณ 739 บาท ซึ่งมีราคาสูงกว่าเดิม 93 บาทต่อการใช้เครื่องปรับอากาศ 1 เครื่อง
คำแนะนำที่ทำได้โดยการประหยัดค่าไฟ คือ ประชาชนต้องหมั่นล้างแอร์ปีละ 2 ครั้ง และเพิ่มการเปิดพัดลมช่วยทำให้อุณหภูมิต่ำลง แอร์จะทำงานหนักน้อยลง
ขณะเดียวกันรูปแบบอัตราค่าไฟฟ้า มี 3 รูปแบบ โดย รูปแบบที่ 1. อัตราปกติ ปริมาณการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน โดยมีการกำหนดอัตราค่าไฟต่อหน่วยไว้เป็นอัตราก้าวหน้า หรือ แบบขั้นบันได โดยมีการคิดค่าบริการ 8.19 บาท
รูปแบบที่ 2. อัตราปกติปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าเกินกว่า 150 หน่วยต่อเดือน ตรงนี้จะมีการคิดแบบอัตราขั้นบันไดเช่นกัน โดยมีค่าบริการอยู่ที่ 24.62 บาท
รูปแบบที่ 3 อัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of Use Tariff: TOU) เป็นอัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดตามช่วงเวลาการใช้งาน แบ่งเป็นช่วง On Peak ที่ความต้องการใช้ไฟเยอะ ค่าพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยจะสูง และช่วง Off Peak ที่ความต้องการใช้ไฟน้อย ค่าพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยจะต่ำ โดยมีอัตราค่าคงที่ช่วงเวลาละ 2 อัตราเท่านั้น ไม่เพิ่มขึ้นแบบอัตราก้าวหน้า
โดยช่วงความต้องการไฟฟ้าสูง (On Peak) คือ ระหว่างเวลา 09.00-22.00 น. ของวันจันทร์-ศุกร์ อัตราค่าไฟฟ้า 5.1135 บาทต่อหน่วย สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องวัดไฟฟ้าขนาดแรงดัน 12-24 กิโลวัตต์ และ 5.7982 บาทต่อหน่วย สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องวัดไฟฟ้าขนาดแรงดันต่ำกว่า 12 กิโลวัตต์
ส่วนช่วงความต้องการไฟฟ้าต่ำ (Off Peak) คือ ระหว่างเวลา 22:00-09:00 น. ของวันจันทร์-ศุกร์ และวันพืชมงคล และตลอดทั้งวันของวันเสาร์-อาทิตย์ วันแรงงานแห่งชาติ วันหยุดราชการตามปกติ (ไม่รวมวันพืชมงคลและวันหยุดชดเชย) อัตราค่าไฟฟ้า 2.6037 บาทต่อหน่วย สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องวัดไฟฟ้าขนาดแรงดัน 12-24 กิโลวัตต์ และ 2.6369 บาทต่อหน่วย สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องวัดไฟฟ้าขนาดแรงดันต่ำกว่า 12 กิโลวัตต์
นอกจากนี้ยังต้องมีการคำนวณเกี่ยวกับ ค่า Ft คือ ค่าไฟฟ้าผันแปร เป็นค่าที่กำหนดขึ้นเพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนที่อยู่เหนือการควบคุมของการไฟฟ้า เช่น ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลง, ค่าซื้อไฟฟ้า, ผลกระทบจากค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ ค่า Ft นี้จะเป็นค่าบวกหรือค่าลบก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา โดยจะมีการปรับทุก 4 เดือนซึ่งจะถูกปรับค่าทุกๆ 4 เดือน ซึ่งทั้งหมดนี้ยังต้องนำไปคิดรวมอีกส่วนก็คือ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ซึ่งทั้งหมดก็จะกลายมาเป็นค่าไฟฟ้าที่ถูกคำนวนแล้วในแต่ละบ้าน สะท้อนการค่าไฟที่ใช้จ่ายจริงในแต่ละเดือน