ดาวโจนส์ปิดร่วง 117 จุด จากแรงขายหุ้นพลังงาน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากราคาน้ำมันดิบและราคาโลหะในตลาดโลกร่วงลงอย่างหนัก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) สาขาแอตแลนต้า ออกมาส่งสัญญาณว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (7 ธ.ค.) ที่ 17,730.51 จุด ร่วงลง 117.12 จุด หรือ -0.66% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,101.81 จุด ลดลง 40.46 จุด หรือ -0.79% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,077.07 จุด ลดลง 14.62 จุด หรือ -0.70%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กดิ่งลงอย่างหนัก โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล และหุ้นเชฟรอน ร่วงลงเกือบ 3% หุ้นโคโนโคฟิลิปส์ และหุ้นชลัมเบอร์เกอร์ ดิ่งลง 2.5% ขณะที่หุ้นคอนโซล เอนเนอร์จี ร่วงลงกว่า 13%
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างหนักหลังจากที่ประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับเพดานการผลิตน้ำมันใหม่สำหรับช่วง 6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากโอเปกไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าอิหร่านจะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นเท่าใดในปีหน้า หลังจากที่ชาติตะวันตกได้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านเมื่อ 6 เดือนก่อน
ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเช่นกัน หลังจากราคาโลหะในตลาดโลกร่วงลงเนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน ดิ่งลง 7.9% หุ้นดาวเคมิคอล และหุ้นนูคอร์ คอร์ป ต่างก็ร่วงลงกว่า 1.9% ขณะที่หุ้นยูเอส สตีล คอร์ป ร่วงลง 8.8% ขณะที่หุ้นจอย โกลบอล และหุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ดิ่งลงกว่า 2.3%
อย่างไรก็ตาม การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสายการบินดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเจ็ทบลู แอร์เวยส์ และหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ส พุ่งขึ้นราว 4% ขณะที่หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้นกว่า 2.6%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้ากล่าวว่า เศรษฐกิจและตลาดการเงินในปัจจันอยู่ในภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า การแสดงความเห็นของนายล็อคฮาร์ทมีขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 211,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีครึ่ง
ขณะที่นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงสต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย., ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน