ผู้ถือหุ้น DTCENT ไฟเขียวปันผลหุ้น-เงินสด ปักธงผลงานปีนี้โต 15%

ผู้ถือหุ้น DTCENT เคาะปันผลหุ้น 25:1-เงินสด 0.002222222220 บ. จ่าย 19 พ.ค. นี้ ปักธงผลงานปีนี้โต 15% เร่งเปิดศูนย์บริการ-ขายสินค้า GPS ในประเทศ 7 แห่งปีนี้ พร้อมพัฒนาระบบ IoT Solution-AI รองรับงานภาครัฐ-เอกชน


นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DTCENT ผู้นำในการให้บริการระบบ GPS Tracking อันดับ 1 ในประเทศไทย (อ้างอิงจากข้อมูลกรมการขนส่งทางบกในเดือนมกราคม 2565)  เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันที่ 21 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท

โดยปันผลดังกล่าวเป็นการจ่ายจากผลการดำเนินงานของปี 2565 จำนวนไม่เกิน 48,200,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 25 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล รวมมูลค่าหุ้นทั้งสิ้น ไม่เกิน 24,100,000 บาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายหุ้นปันผลในอัตราหุ้นละ 0.020000000000 บาท ในกรณีที่หุ้นสามัญที่เกิดจากการจ่ายปันผลคำนวณได้ออกมาเป็นเศษของหุ้น บริษัทจะตัดเศษของหุ้นดังกล่าวทิ้งและจะจ่ายปันผลเป็นเงินสดให้กับเศษของหุ้นที่ปัดทิ้งในอัตราหุ้นละ 0.020000000000 บาท และจ่ายปันผลเป็นเงินสดจำนวนไม่เกิน 2,677,777.78 บาท ในอัตราหุ้นละ 0.002222222220 บาท เพื่อรองรับภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 10 ของเงินได้ตามมาตรา 50(2) แห่งประมวลรัษฎากร รวมเป็นการจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.022222222220 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 เมษายน 2566 และกำหนดวันที่จ่ายปันผลเป็นวันที่ 19 พฤษภาคม 2566

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นฯ มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 24,100,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 602,500,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 626,600,000 บาท โดยออกเป็นหุ้นสามัญจำนวนรวม 48,200,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อไว้รองรับการจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญจำนวน 48,200,000 หุ้น และอนุมัติการแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทข้อ4 เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท

“จากผลประกอบการในปี 2565 ที่ผ่านมา DTCENT ยังสามารถทำผลงานได้ดี สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้ และขอให้เชื่อมั่นในทีมผู้บริหาร ที่จะดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคงได้ในอนาคตอย่างแน่นอน”

นายทศพลกล่าวอีกว่า บริษัทฯ เดินหน้าในการเปิดศูนย์บริการและขายสินค้าไปยังจังหวัดหลักในประเทศ ตั้งเป้าหมาย 7 แห่งภายในปีนี้ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมในธุรกิจ GPS Tracking ขณะเดียวกัน ยังมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อสนับสนุนการใช้งานในธุรกิจ GPS และ การพัฒนาซอฟต์แวร์อื่นๆ ตามความต้องการของลูกค้า

พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ IoT Solution รองรับการขยายโครงการของภาครัฐ เช่น งานโครงการด้านเมืองอัจฉริยะ (SMART CITY) ตามเทศบาลต่างๆ และ ระบบ AI  อย่าง BAMS (Business Activity Management System) ขณะนี้ อยู่ระหว่างการทดสอบการใช้ระบบ รวมทั้ง ระบบบริหารจัดการน้ำ และระบบ BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform ซึ่งคาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้

ในส่วนการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน โดยการนำโมเดล ระบบ GPS Tracking และ IoT Solution ร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเจรจาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ คาดว่าจะเห็นความชัดเจน 1-2 แห่งภายในปี 2566

สำหรับความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) วางแผนที่จะพัฒนาให้บริษัทฯ เป็น Tier 1 Supplier ในงาน OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้เพิ่มขึ้น ส่วนบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ขณะนี้ ร่วมวางแผนงานการดำเนินธุรกิจ ในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้กับบริษัทฯ

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง กับธุรกิจหลัก ในรูปแบบการทำ M&A ขณะนี้ อยู่ระหว่างการร่วมพิจารณากับบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชนฯ ประมาณ 4-5 บริษัทที่มีผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

“ในปีนี้ DTCENT มีการพัฒนาทั้งระบบ GPS Tracking เพื่อให้ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และหากกรมขนส่งทางบกมีการออกกฎหมายบังคับใช้ GPS กับรถอีกหลายประเภท เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน จะส่งผลให้ DTCENT มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย รวมทั้งการพัฒนา IoT Solution และ ระบบ AI เพื่อรองรับงานโครงการต่างๆ ของทางภาครัฐและเอกชนที่จะมีออกมามากขึ้น โดยบริษัทฯ มีความพร้อมในด้านทีมงาน และองค์ความรู้ต่างๆ อยู่แล้ว ซึ่งจะเป็น New S-Curve ของบริษัทฯ จึงมั่นใจว่า ผลงานในปี 2566 จะเติบโตได้ 10-15% อย่างแน่นอน” นายทศพลกล่าวในที่สุด

Back to top button