หุ้นกลุ่มธนาคารที่ยังต่ำกว่าบุ๊กต่อไป

หุ้นกลุ่มธนาคารเป็นหุ้นกลุ่มที่ถูกข้อกำหนดของ ธทป. ให้ประกาศงบการเงินเร็วกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ จึงกลายเป็นหุ้นที่ชี้วัดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ


หุ้นกลุ่มธนาคารเป็นหุ้นกลุ่มที่ถูกข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยให้ประกาศงบการเงินเร็วกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ จึงกลายเป็นหุ้นที่ชี้วัดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจพร้อมทั้งดัชนีของตลาด เนื่องจากขนาดของมาร์เก็ตแคปของตลาดที่ค่อนข้างสูงในการป้องกันความเสี่ยง

ในช่วงนี้ นักวิเคราะห์สำนักใหญ่ของตลาดหุ้นไทยพากันคาด SET แกว่งตัวในกรอบของภาวะไซด์เวย์ขาลงในกรอบ ใต้ 1,580-1,600 จุดด้วยมูลค่าซื้อขายเบาบาง เนื่องจากเป็นการเปิดทำการช่วงหลังสงกรานต์หลังหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นเวลา 4 วัน อีกทั้งตลาดได้ตอบรับต่อปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดปิดทำการเป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงเช้า ขณะที่ไร้แรงหนุนใหม่ โดยตลาดยังรอติดตามปัจจัยภายนอกของต่างประเทศสำคัญ ได้แก่ การรายงาน GDP ไตรมาสแรกของจีน และดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน มี.ค. ของจีน เพื่อประเมินภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาค และ การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่หลายแห่งของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ อาทิ ชาร์ลส์ ชวาบ โกลด์แมน แซคส์ มอร์แกนสแตนลีย์ แบงก์ออฟอเมริกา เน็ตฟลิกซ์ พรอกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล และเทสลา เพื่อประเมินภาพผลกระทบทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลังเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นครั้งล่าสุดที่คาดว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของอัตราขาขึ้นที่ต่อเนื่องมานานกว่าสองปี ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารนี้มีความหมายต่อตลาดมากขึ้น

ในไตรมาสแรกออกมาแล้ว ผลปรากฏว่า ผลประกอบการเกินคาดทั้งนั้นโดยเฉพาะหุ้นหลักอย่าง SCB, BBL, KTBและรวมหุ้นแบงก์ที่มีมาร์เก็ตเแคปเล็กสุดคือ LHFG ส่วนหุ้นที่กำไรน่าผิดหวังสุดคือ CIMBT และ KBANK ที่แม้ยังคงมีกำไรต่อไป แต่กำไรที่ลดลง ย่อมส่งผลลบต่อราคาหุ้นโดยปริยายให้ต่ำกว่าบุ๊กแวลูต่อไม่สิ้นสุด

กำไรจากไตรมาสแรกของหุ้นกลุ่มธนาคารโดยรวมที่เติบโตกว่าระยะเดียวกันปีก่อน 13.3% ถือเป็นเรื่องการฟื้นตัวที่เด่นดีหลังจากการหดตัวในช่วงโควิด-19 ระบาดหนักตลอด 2 ปีมานี้ ทำให้คาดหมายว่าธนาคารน่าจะกลับมาทำกำไรยอดรวมทั้งที่เศรษฐกิจไทยยังสุ่มเสี่ยงอยู่ต่อไปจากปัจจัยเสี่ยงหลังการเลือกตั้งกลางเดือน พฤษภาคมนี้

การกลับมาของกำไรของ BBL และ KBANK เหนือ 10,000 ล้านบาทอีกครั้งเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งในขณะที่ KBANK แม้จะมีกำไรลดลงแต่การที่ยังมีกำไรมากสุดอันดับสองในกลุ่มต่อไปทำให้มั่นใจได้ว่าเป็นการหดตัวชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้มีผลต่อการทำกำไรระยะต่อไปแต่อย่างใด

ส่วนกำไรสุทธิของหุ้นอย่าง BAY ที่มีกำไรต่อเนื่อง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพารายได้พิเศษจากการแยกตัวเพื่อระดมทุนในตลาดเหมือนได้ดี เหมือนกับช่วง 2 ปีก่อนที่ TIDLOR มาช่วยทำให้งบดูสวยขึ้นไป แม้ว่าผลประกอบการปกติจะลดลง สะท้อนถึงการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยมของผู้บริหารชาวญี่ปุ่น

สูตรง่าย ๆ ของการสร้างตัวเลขกำหนดเป้าหมายสุทธิของหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งต้นปีจะมีการสร้างเป้าหมายการเติบโต x+5% (x ค่าเท่ากับ GDP ของประเทศ) เป็นสิ่งที่เรียกว่าได้ประสบความสำเร็จเกินคาดมาแล้วในไตรมาสแรก

ยืนยันหลักการที่ว่าตัวเลขไม่เคยโกหกอีกครั้งหนึ่ง และการเข้าถือหุ้นกลุ่มนี้โดยเฉพาะ   BBL กับ KBANK เป็นความคุ้มค่าไม่ว่าจะมองจากมุมไหน อาจจะราคาสูงเกินไป แต่หุ้นที่ราคาสูงกับราคาแพงนั้นต่างกัน เรื่องนี้นักลงทุนที่มีประสบการณ์คงเข้าใจได้ดี

จะพูดมากเกินไปคงไม่ได้อะไร

Back to top button