MASTER กางแผนพ.ค.เปิด 10 ห้องผ่าตัดใหม่ เล็งปิด M&A ปีนี้ 3 ดีล
MASTER ย้ำเป้าหมาย 3 ปีรายได้โตเฉลี่ย 40% ต่อปี รับลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอาหรับ-กัมพูชา เล็งปิด M&A ปีนี้ 3 ดีล จ่อเปิดบริการห้องผ่าตัดใหม่ 10 ห้อง รวมเป็น 17 ห้อง พร้อมศูนย์บริการสุขภาพเพศชาย-ผิวพรรณพ.ค.นี้
นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER โรงพยาบาลด้านศัลยกรรมเสริมความงามภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช (Masterpiece Hospital) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาแผนการเข้าซื้อกิจการ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการเติบโตและขยายธุรกิจ ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาลงทุนธุรกิจเสริมความงามเพิ่มเติม โดยคาดชัดเจนภายในครึ่งปีแรก 2566 และตั้งเป้าหมายภายในปีนี้จะสามารถปิดดีลได้ 3 ดีล โดยแหล่งเงินทุนมาจากเงินที่ได้จากการระดมทุนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรง (IPO)
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 66-68) จะมีรายได้เติบโตเฉลี่ย 40% ต่อปี จากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยภายในเดือนพ.ค.นี้บริษัทฯ จะมีห้องผ่าตัดเพิ่มอีก 10 ห้อง รวมเป็น 17 ห้อง และมีจำนวนแพทย์เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีอยู่ 43 คน อีกทั้งยังเตรียมเปิดศูนย์บริการสุขภาพเพศชาย รวมถึงศูนย์หัตถการด้านผิวพรรณอีกด้วย
นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าต่างชาติเริ่มทยอยกลับเข้ามามาใช้บริการของทางโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 20% อาทิ กลุ่มลูกค้าจากกัมพูชา อาหรับ และชาวจีน เป็นต้น
ขณะที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ปรับประมาณการรายได้ปี 66 ขึ้น 12% เป็น 1,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.6% จากปีก่อน จากการปรับเพิ่ม Utilization rate การใช้ห้องผ่าตัดเป็น 48% จาก 45% เพื่อสะท้อนผลของการใช้งบการตลาดที่มากกว่าคาด และปรับราคาค่าบริการเฉลี่ยต่อเคสขึ้น 7.5% เป็น 1.2 แสนบาท
พร้อมปรับประมาณการ GPM ขึ้นจาก 56.8% เป็น 58.0% ตามการเพิ่มขึ้นของราคาเฉลี่ย แต่ปรับเพิ่ม SG&A ขึ้น 29.0% เช่นกัน เป็น 556 ล้านบาท SG&A/Sales เพิ่มขึ้นจาก 25.5% เป็น 29.2% เพื่อสะท้อนการทำการตลาดที่มากขึ้นเพื่อรองรับจำนวนห้องผ่าตัดที่เพิ่มขึ้น ทำให้การทำการตลาดทั้ง Online และ Offline ยังมีความจำเป็น
ทั้งนี้ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 66 เพิ่มขึ้น 3.6% เป็น 445 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.7% จากปีก่อน และด้วยการเติบโตที่ค่อนข้างสูงอีกทั้งยังมี Upside risk จากการ M&A ที่ยังไม่รวมในประมาณการ จึงปรับเพิ่ม PER ในการประเมินมูลค่าจาก 37 เท่า เป็น 40 เท่า ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 66 ที่ 74 บาท แต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงทำให้มี Upside gain จำกัด จึงลดคำแนะนำเป็น TRADING ผู้ไม่มีสถานะแนะนำรอซื้อเมื่ออ่อนตัว