คัด 8 หุ้นโบรกอัพเป้าใหม่-กำไรปี 66 โตแกร่ง!

คัด GUNKUL-SYNEX-KTB-TTB-BBL-OSP-WHA-SUN โบรกอัพราคาเป้าหมายใหม่ พ่วงปรับประมาณการกำไรปี 66-67 เพื่ม


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งบริษัท ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ทำการวิเคราะห์และได้ปรับประมาณการณ์กำไรปี 66-67 และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายใหม่ จากแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/66 โตแกร่งและที่ประกาศผลงานออกมาแล้วโดดเด่น

โดยกลุ่มหุ้นที่เข้าเกณฑ์จากการวิเคราะห์บล.ดาโอล่าสุดในเดือนเมษายน 2566 พบว่ามี 8 หุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังนี้ GUNKUL-SYNEX-KTB-TTB-BBL-OSP-WHA-SUN 

บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL แนะซื้อปรับเป้าขึ้นเป็น 5.80 บาท (เดิม 5.70 บาท) อิง สะท้อนสมมติฐานใหม่หลังถอดธุรกิจกัญชง-กัญชาออก (1.50 บาท) และรวมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนใหม่เข้ามา 832MW (ถือหุ้น 100%, 1.60 บาท) ที่ประมูลได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 5.2GW ซึ่งประกาศผลเมื่อ 5 เม.ย. 66

โดยจะมี SCOD ในปี 66-70 โดยขั้นตอนต่อไปคือการเข้ารับทราบถึงเงือนในการลงนาม PPA ในวันที่ 19 เม.ย. 66 โดยประเมินหาก COD ครบทุกโครงการจะทำให้บริษัทมีกำไรเฉลี่ยต่อปีเพิ่มขึ้นราว 1.4 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากฐานกำไรในปี 66 กว่า 108% ในขณะที่มีอัพไซด์เพิ่มเติมจากการเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนรอบใหม่อีกราว 3.4GW ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 66

บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ปรับขึ้นเป็นซื้อราคาเป้าหมาย 17.00 บาท จากเดิม “ถือ” เพื่อสะท้อนยอดขายสินค้า IT ที่จะผ่านจุดต่ำสุดใน ไตรมาส 1/66 และจะทยอยปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีมองเป็นบวกต่อการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ จาก1.) รายได้ปี ปี 66 ที่จะเพิ่มขึ้น โต10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยเป็นการเติบโตในทุกธุรกิจ จากการกลับมาลงทุนของภาคธุรกิจ ยอดขาย Honor ที่สูงขึ้นจากการจำหน่ายเต็มปี และเพิ่มประเภทสินค้า และบริการตลอดทั้งปี โดยปัจจุบันบริษัทได้เป็นตัวแทนจำหน่าย Garmin และ Nintendo Switch เพิ่มเติม และ 2.) ค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ยังต่ำ เนื่องจากไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มจำนวนพนักงาน

โดยคงกำไรปกติปี 66 ที่ 768 ล้านบาท โต 5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ที่ขยายตัวโต 10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการเพิ่มประเภทสินค้า และกิจกรรมการตลาดที่กลับมาเป็นปกติ ขณะที่ GPM อ่อนตัวตามสัดส่วนยอดขายกลุ่ม consumer (high GPM) ที่ลดลง และ SG&A/sale เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

จากผลการดำเนินงานที่จะผ่านจุดต่ำสุดของปีในไตรมาส 1/66 และจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/66, ความกังวลต่อยอดขายสินค้า IT ที่ขยายตัวต่ำคลี่คลาย ภายหลังที่ กนง. มีการปรับลดประมาณการอัตราเงินเฟ้อลง และบริษัทยังมีเงินทุนที่สูง สำหรับการลงทุน M&A ในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนในปี ปี 66 จำนวน 1-2 ดีล รวมทั้งราคาปัจจุบันยังเทรดต่ำเพียง ปี 66 core PER ที่ 16.0 เท่า จึงปรับขึ้นเป็นซื้อราคาเป้าหมาย 17.00 บาท

ด้านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB แนะนำซื้อปรับเป้าขึ้นเป็น 21.00 บาท จากเดิมที่ 20 จากการปรับกำไรและ PBV เพิ่มขึ้น โดย KTB ประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ทำสถิติรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โต15% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต24% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่าที่ตลาดคาดโต15% และคาดโต12% เพราะ NIM เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด ขณะที่มีกำไรจากเครื่องมือทางการเงิน (FVTPL) มากกว่าคาด แต่ถูกชดเชยไปกับสำรองฯมากกว่าคาด ส่วน NPL ลดลงได้ดีอยู่ที่ 3.22% จากไตรมาสก่อนได้ที่ 3.26% จากการบริหารหนี้ได้ดี

กำไรสุทธิไตรมาส 1/66 คิดเป็น 28% ของประมาณการทั้งปี ทำให้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี ปี 66-67 เพิ่มขึ้นปีละ โต5% จากการปรับ NIM เพิ่มขึ้น ทำให้ได้กำไรสุทธิปี ปี 66 อยู่ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นได้ที่ โต14% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่คาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 2/66 จะเพิ่มขึ้นได้ทั้ง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากสำรองฯที่ยังอยู่ในระดับต่ำและ NIM ที่เพิ่มขึ้นได้ดี

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB แนะนำซื้อจากเดิมถือและปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 1.65 บาท จากเดิมที่ 1.55 บาท จากการปรับกำไรและ PBV ขึ้น โดย TTB ประกาศกำไรสุทธิใน ไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 4.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น โต 34% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต 12% เทียบไตรมาสก่อนหน้า มากกว่าที่ตลาดคาดโต 12% และมากกว่าที่เราคาด โต25% จากตั้งสำรองฯและ OPEX ที่น้อยกว่าคาด ขณะที่ NIM และสินเชื่อลดลงตาม ด้าน NPL อยู่ที่ 2.69% ลดลงได้ดีเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ 2.73% เพราะมีการ write-off NPL ออกไปอีก 2.9 พันล้านบาท และขาย NPL อีก 1.4 พันล้านบาท

กำไรสุทธิ ไตรมาส 1/66คิดเป็น 30% จากประมาณการทั้งปี ทำให้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 66-67 ขึ้นปีละ 9% จากการปรับ Cost to Income ratio จาก OPEX ลดลง ทำให้ได้กำไรสุทธิปี ปี 66 อยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น โต12% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เราคาดว่ากำไร ไตรมาส 2/66 เพิ่มขึ้น เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากสำรองฯที่ลดลงได้ต่อเนื่องธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL แนะนำซื้อปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 195.00 บาท) จากเดิมที่ 187.00 บาท จากการปรับกำไรและ PBV ขึ้น โดย BBLประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น โต42% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ โต 34% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่าที่ตลาดและเราคาด โต 23% โดยรายได้ค่าธรรมเนียมและ NIM เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด ขณะที่มีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยชดเชยกับสำรองฯที่เพิ่มขึ้น ส่วน NPL ทรงตัวได้ดีจากไตรมาสก่อนที่ 3.10% จากการบริหารหนี้ได้ดี

โดยกำไรสุทธิไตรมาส 1/66คิดเป็น 29% จากประมาณการทั้งปี ทำให้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี66-67E ขึ้นปีละ โต9% โดยปรับการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมและ NIM ขึ้น ทำให้ได้กำไรสุทธิปี ปี 66 อยู่ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นโดดเด่นที่สุดในกลุ่มถึง โต32% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เราคาดว่ากำไรสุทธิ ไตรมาส 2/66 จะเติบโตได้ทั้ง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เทียบไตรมาสก่อนหน้า ได้ต่อเนื่องจากสำรองฯที่ลดลงและ NIM ที่เพิ่มขึ้น

บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)  หรือ OSP แนะนำขึ้นเป็น“ซื้อ”และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 32.00 บาท (เดิมถือที่ 30.00 บาท ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 739 ล้านบาท (ลดลง 1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ โต 120% เทียบไตรมาสก่อนหน้า กำไรลดลง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 1.) รายได้รวมปรับตัวลดลง 12% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ domestic beverage (ลดลง 20% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) แต่มีรายได้ต่างประเทศที่ขยายตัว โต9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ช่วยชดเชย, 2.) GPM ขยายตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก efficiency ที่ปรับตัวดีขึ้น, 3.) SG&A expenses ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก FX loss ที่ 100 ล้านบาท และ 4.) รับรู้ dividend income จาก Unicharm ที่ 300 ล้านบาท (โดยในปี 2022 รับรู้ใน 2Q22 ที่ 28 ล้านบาท) ด้านกำไรขยายตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้ที่ขยายตัวและ GPM ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก volume การผลิตที่ขยายตัว

โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี ปี 66-67 ขึ้น 7% และ 4% ตามลำดับ จากการปรับ GPM เพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของ GPM ที่เร็วกว่าคาด และ dividend income จาก Unicharm เพิ่มขึ้นประเมินกำไรสุทธิปี 66 ที่ 2,457 ล้านบาท โต 27% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และปี 67 อยู่ที่ 3,116 ล้านบาท โต 27% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA แนะนำซื้อแต่ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 5.00 บาท จากเดิม 4.50 บาท โดยเป็นผลจากการปรับกำไรปกติ และ re-rate PBV ขึ้นมองเป็นเรามองเป็นบวกต่อการประชุมนักวิเคราะห์ (26 เม.ย.) จาก presale ที่เข้ามาเพิ่มขึ้นเร็วตั้งแต่ต้นปี ทำให้ transfer ปี ปี 66 จะปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ประเมินกำไรปกติ ไตรมาส 1/66 ที่ 448 ล้านบาท โต13% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 84% เทียบไตรมาสก่อนหน้า โดยเพิ่ม เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 1) transfer ที่เพิ่มขึ้นเป็น 270 ไร่ และ 2) ส่วนแบ่งธุรกิจไฟฟ้าดีขึ้น จากค่า Ft ที่ดีขึ้น ขณะที่กำไรปกติหดตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากไม่มีรายได้ และส่วนแบ่งจากการขายทรัพย์เข้ากอง WHART และ WHAIR เป็นปกติฤดูกาล ทั้งนี้ presale ไตรมาส 1/66 ปรับตัวดีขึ้นสูงถึง 470 ไร่ (คิดเป็น 27% ของเป้าบริษัทที่ 1.75 พันไร่)

โดยปรับกำไรปกติปี 66 ขึ้น โต 4% เป็น 4.0 พันล้านบาท โต 9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และปี 67 ขึ้น โต 7% เป็น 4.8 พันล้านบาท โต20% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปรับ 1.เพิ่ม presale เป็นปีละ 2.0 พันไร่ โดยประเมินว่าบริษัทมีโอกาสที่จะปรับเป้าในช่วงกลางปี ปี 66 ขึ้น จาก presale ที่เข้ามาสูงตั้งแต่ต้นปี สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนไม่มีความกังวลต่อปัญหาด้านการเมือง รวมทั้งมีโอกาสที่บริษัทจะได้ลูกค้า EV รายใหญ่สูง เนื่องจากบริษัทมีพื้นที่ขนาดใหญ่ในนิคมปัจจุบันที่รองรับการขายในพื้นที่ EEC ได้ ทำให้ 2) transfer ปี  66 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันไร่ และปี 67 อยู่ที่ 1.8 พันไร่

บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN แนะนำขึ้นเป็นซื้อ และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 7.00 บาท (เดิมถือที่ 4.50 บาท) ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 65 ล้านบาท โต 116% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต 79% เทียบไตรมาสก่อนหน้า

กำไรขยายตัวเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 1.รายได้ขยายตัว โต24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งสินค้า RTE (Ready to eat)  ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ, 2) GPM ขยายตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปรับขึ้นราคา และ utilization rate ที่ปรับตัวดีขึ้น และต้นทุนกระป๋องปรับตัวลดลง ด้านกำไรที่ขยายตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก pent up demand จากอุทกภัยในไตรมาส 4/65

โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ขึ้น โต 55% และปี 67 โต 53% สะท้อนผลประกอบการที่ฟื้นตัวเร็ว และ GPM ที่ดีกว่าคาดจากการวางแผนวัตถุดิบที่ดีขึ้น และต้นทุน packaging ที่ลดลงประเมินกำไรสุทธิปี 66 ที่ 256 ล้านบาท โต 104% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และปี 67 ที่  318 ล้านบาท โต 25% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้คาดกำไรไตรมาส 2/66 จะขยายตัวต่อเนื่อง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้และ GPM ขยายตัว

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button