TPAC คาดปี 58 กำไรโตแม้รายได้หด ปี 59 ตั้งเป้ายอดขายโต 10%

นายธีรวิทย์ บุษยโภคะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลาสติค และหีบห่อไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TPAC เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปีนี้น่าจะลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน จากปีก่อนทำได้ 1,686.20 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,212 ล้านบาท เป็นผลมาจากราคาเม็ดพลาสติกที่ลดลง ส่งผลต่อราคาสินค้าที่ขายให้ลดลงตามไปด้วย โดยปรับตัวลดลงราว 10% แต่ปริมาณการขายยังคงเพิ่มสูงขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ทำให้กำไรสุทธิสูงขึ้นมาที่ราว 100 ล้านบาท จากปีก่อน 93.39 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ประกอบกับยอดการผลิตสูงขึ้น โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ราว 10%

ส่วนในปี 59 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตราว 10% ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตตามปกติ โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากในประเทศ 90% และต่างประเทศ 10% จากผลิตภัณฑ์เดิมทั้ง 4 กลุ่ม คือ Food&Beverage Custom Containers,Home Care Custom Containers,Personal Care Custom Containers และ Custom Plastic Closures อีกทั้งมองราคาน้ำมันน่าจะมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว และในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำไปกว่า 40-50 เหรียญ/บาร์เรล

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ราว 100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนเครื่องจักร การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร และแม่พิมพ์บางส่วนให้กับลูกค้า เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่จะเข้ามา คาดว่ากำลังการผลิตโดยรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 21,000 ตัน/ปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 20,000 ตัน/ปี แต่ปีนี้เดินเครื่องการผลิตราว 16,000 ตัน ซึ่งการเพิ่มกำลังการผลิตในทุกๆปีเพื่อให้สอดคล้องไปกับเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ย 10%/ปี รวมถึงการขยายคลังสินค้าที่ได้ลงทุนไปแล้ว คาดจะแล้วเสร็จและรองรับออเดอร์เข้ามาเพิ่มได้ในช่วงต้นปีหน้า

พร้อมกันนี้บริษัทเตรียมหารือเพื่อวางแผนการเติบโตในระยะยาวในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ในเดือนก.พ.59 หลังจากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาบริหารงานร่วม แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายหลักของบริษัทอย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี้ นายอานุช โลเฮีย และ คามา อินเวสเมนท์ส ลิมิเต็ด (QAMA Investments Limited) เข้าถือหุ้น TPAC คิดเป็นสัดส่วน 60.55% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ TPAC และใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 1 สำหรับผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 26,601,850 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 57.96% ของจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมดที่ออกจำหน่ายแล้ว ยังมิได้มีการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ