โบรกชี้ SAWAD กำไร Q1 ทะลุ 1.2 พันล้าน รับพอร์ตสินเชื่อโต ชูเป้า 62 บาท
บล. ทรีนีตี้ คาดว่า SAWAD กำไรไตรมาส 1/66 แตะ 1,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.6% จากช่วงเดียวของปีก่อน หลังรับอานิสงส์พอร์ตสินเชื่อเติบโตแกร่ง พร้อมคาดปี 66 พอร์ตสินเชื่อโดยรวมสามารถขยายตัว 25-30% แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" ราคาเป้าหมาย 62 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD มีแนวโน้มประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2566 ออกมาเร็วๆนี้ โดย บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์คาดว่า SAWAD ประกาศกำไรไตรมาส 1 ปี 2566 อยู่ที่ 1,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3.9% จากไตรมาสก่อนหน้า
โดยคาดกำไรเติบโตแกร่งมาจาก 1) พอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 64,255 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 10.6% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งโตจากพอร์ตเช่าซื้อของ SCAP คาดว่าพอร์ตเช่าซื้อจะโต 22% จากไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่พอร์ตกู้ยืมโต 5% จากไตรมาสก่อนหน้า
2) คาดว่าในไตรมาส 1 ปี 2566 ส่วนของผลผลิต (yield) อยู่ที่ 20.6% จากในปีในไตรมาส 1 ปี 2565 อยู่ที่ 18.3% และในไตรมาส 4 ปี 2565 อยู่ที่ 20.8% โดยเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน โดยจากการขยายพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อที่มี yield สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่นๆ ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าจากปัจจัยทางฤดูกาล
3) คาดต้นทุนของกองทุน (cost of fund) อยู่ที่ 3.4% ลดลง 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 5.3% จากไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตามเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
4) คาดต้นทุนต่อรายได้ (cost to income) อยู่ที่ 48.0% เพิ่มขึ้น 13.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน แต่ลดลง 1.9% จากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อนจากการกลับมาเร่งปล่อยสินเชื่อ ส่วนลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า จากการให้พนักงาน 1 คนรับผิดชอบลูกค้ามากขึ้น
5) คาดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 2.48% จาก 3.11% ในไตรมาส 1 ปี 2565 และ 2.39% ในไตรมาส 4 ปี 2565 ยังทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า โดยคาดว่า NPL จะ peak ในไตรมาส 2 – 3
6) คาดในไตรมาส 1 ปี 2566 ส่วนของต้นทุนเครดิต (credit cost) อยู่ที่ 1.50% จากในไตรมาส 1 ปี 2565 อยู่ที่ 0.2% และในไตรมาส 4 ปี 2565 อยู่ที่ 1.11% พร้อมคาดว่าในไตรมาส 1 ปี 2566 สำหรับอัตราส่วนความคุ้มครอง (coverage ratio) อยู่ที่ 55% จากไตรมาส 1 ปี 2565 อยู่ที่ 58.3% และในไตรมาส 4 ปี 2565 อยู่ที่ 54.0%
นอกจากนี้ คาดว่าในปี 2566 พอร์ตสินเชื่อโดยรวมสามารถขยายตัวได้ 25% – 30% มาอยู่ที่ 72,600 – 75,500 ล้าน บาท โดยเป็นการเติบโตจากพอร์ตของเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของ SCAP ที่โตจากการแย่ง ส่วนแบ่งทางการตลาด บริษัทคาดว่า NPL จะอยู่ประมาณ 2.7% ในครึ่งหลังของปี 2566 โดยคาดว่าจะตั้งสำรองประมาณ 150 ล้านบาทต่อไตรมาส ซึ่งทำไว้ที่ประมาณ 200 ล้านบาทต่อไตรมาส และตั้งเป้าต้นทุนต่อรายได้ (cost to income) และอัตราส่วนความคุ้มครอง (coverage ratio) อยู่ที่ 45% และ 60– 70%
อย่างไรก็ตามยังคงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 62.00 บาท
ส่วนผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2561-2565 พบว่ากำไรสุทธิเติบโตสม่ำเสมอ โดยในปี 2561 มีกำไรสุทธิ 2,768.36 ล้านบาท ต่อมาในปี 2562 มีกำไรสุทธิ 3,756.49 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2563 มีกำไรสุทธิ 4,508.33 ล้านบาท ส่วนในปี 2564 มีกำไรสุทธิ 4,722.14 ล้านบาท และในปี 2565 มีกำไรสุทธิ 4,476.16 ล้านบาท